เรียบเรียงจากคำบรรยาย และสรุปจากเอกสารประกอบการเขียนเชิงวารสารศาสตร์
อาจารย์สุระชัย ชูผกา
เรียบเรียงโดย อาณาจักร โกวิทย์
ความหมายของ การเขียน คือ การแสดงความรู้ ความคิด ความรู้สึก และความต้องการ ของผู้ส่งสารออกไปเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อให้ผู้รับสารเข้าใจ ได้รับทราบความรู้ ความคิด ความรู้สึก และความต้องการเหล่านั้น การถ่ายทอดโดยใช้ภาษาถ้อยคำเขียนเพื่อสื่อความหมาย
การเขียนควรมีการใช้ถอยคำสำนวนที่เป็นการเฉพาะกับกลุ่มเป้าหมายผู้อ่าน แต่อย่างไรก็ตามไม่ว่าผู้อ่านกลุ่มใด การเขียนต้องเขียนให้แจ่มแจ้ง เพราะผู้อ่านไม่สามารถไต่ถามผู้เขียนได้ว่าไม่เข้าใจ ผู้เขียนให้ได้ดี ต้องใช้ถ้อยคำให้เหมาะสมกับผู้รับสารโดยพิจารณาว่าผู้รับสารสามารถรับสารที่ส่งมาได้มากน้อยเพียงใด
ดังนั้น หลักการเขียน หมายถึง การถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดและความต้องการของบุคคลออกมาเป็นสัญลักษณ์ คือ ตัวอักษร เพื่อสื่อความหมายให้ผู้อื่นเข้าใจจากข้อความข้างต้น คือมองให้เห็นภาพของการเขียนว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการสื่อสารในชีวิตประจำวัน เช่น บันทึกนักเรียน บันทึกประจำวันฯลฯ
ความหมายของ วารสารศาสตร์(Journalism) หมายถึงวิชาที่ว่าด้วยการพิมพ์ที่เผยแพร่เนื้อหา ข่าวสารต่อสาธารณะ ที่มีรูปแบบการดำเนินการโดยมีกองบรรณาธิการ มีผู้เขียนคอลัมน์ที่เชียวชาญในเรื่องราวต่างๆ อย่างกว้างขว้าง เน้อหาจึงมักมีความหลากหลาย เป็นวิชาที่ว่าด้วยสิ่งพิมพ์ ทั้ง หนังสือพิมพ์ นิตยสาร วารสาร ที่มีการตีพิมพ์ลงบนแผ่นกระดาษ หรือวัสดุต่างๆ รวมถึงพิมพ์ลงบนเว็บไซต์ ในการสื่ออินเตอร์เน็ตอีกด้วย ที่มีการออกตามวาระต่างๆ
สรุป การเขียนเชิงวารสารศาสตร์ จึงหมายถึงการเขียนเพื่อให้ข้อมูลข่าวสาร แสดงความคิดเห็น ให้ความบันเทิง หรือเพื่อสื่อสารในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ทางใดทางหนึ่ง ผ่านการสื่อสารประเภทต่างๆ ที่มีวาระการเผยแพร่ โดยการเขียนเชิงวารสารศาสตร์ มุ่งเน้นนำเสนอเรื่องราวต่างๆที่อยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริง (non fiction) ไม่ใช่เขียนเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
งานเขียนเชิงวารสารศาสตร์ นอกจากผู้เขียนต้องนำเสนอข้อเท็จจริงแต่เพียงอย่างเดียวแล้ว ผู้เขียนในงานเชิงวารสารศาสตร์อาจมีการนำเอาอารมณ์ ความรู้สึก ความคิดเห็นของตนเอง ผสมผสานไปกับข้อเท็จจริงได้ เช่น งานเขียนประเภทสารคดี บทความแสดงความคิดเห็น แต่ทั้งหมดข้อเขียนเหล่านี้ต้องอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงเป็นสำคัญ
คุณลักษณะนักเขียน
ผู้เขียนพึงมีคุณสมบัติมากกว่าบุคคลทั่วไป ซึ่งนักเขียนในงานวารสารศาสตร์ จึงพึงมีคุณลักษณะสรุปได้ดังนี้
๑. มีความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์ และจินตนาการ รวมถึงมีข้อสงสัยเพื่อนำไปสู่การแสวงหาคำตอบ มองหาข้อเท็จจริง คำอธิบาย เพื่อมาบอกอธิบายกับผู้อ่าน ต้องมีจินตนาการถึงความต้องการของผู้อ่านหรือสิ่งที่ผู้อ่านอยากรู้ อยากเข้าใจ หรือต้องการข่าวสารข้อมูลด้านต่างๆ ทั้งนี้เพราะผู้เขียนไม่สามารถเดินไปสอบถามผู้อ่านได้ว่าต้องการอยากรู้อะไร
๒. มีความรอบรู้ด้านต่างๆ เพราะความรู้เปรียบเสมือนวัตถุดิบที่เป็นจุดเริ่มต้นของการผลิตงานเขียน ดังนั้นผู้เขียนจึงต้องบริโภคข้อมูลข่าวสารในด้านต่างๆมากกว่าผู้อ่านทั่วไป เพื่อเลือกนำมาเสนอให้กับผู้อ่านได้อย่างหลากหลาย และไม่ซ้ำกับเนื้อหา หรือแง่มุมของเรื่องราวต่างๆ ที่ได้มีการนำเสนอผ่านสื่อหรือช่องทางอื่นไปแล้ว
๓. มีความสามรถในการเลือกเนื้อหาและใช้ภาษาได้อย่างหลากหลาย และถูกหลักการใช้ภาษา และเหมาะสมกับระดับความรู้ ความเข้าใจของผู้อ่าน โดยผู้เขียนพึงมีความสามารถที่จะอธิบายนำเสนอเรื่องราวต่างๆ ได้ด้วยภาษาที่ง่ายเป็นสำคัญ เพราะงานเขียนเชิงวารสารศาสตร์ มุ่งนำเสนอไปยังกลุ่มคนส่วนใหญ่ที่มีความหลากหลาย แม้งานเขียนในสิ่งพิมพ์ที่มีกลุ่มเป้าหมายเฉพาะอย่าลืมว่ากลุ่มเป้าหมายเฉพาะยังคงเป็นผู้อ่านที่หลากหลายเช่นกัน
๔. มีจรรยาบรรณในการเขียน หมายถึง มารยาทและความรับผิดชอบต่องานเขียนของตนและต่อผู้อ่าน โดยผู้เขียนต้องเขียนเรื่องโดยใช้ภาษาที่ถูกต้อง มีการตรวจทานข้อเขียนของตนอย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อนการเผยแพร่ ทั้งนี้ไม่ลืมไปว่างานเขียนไม่เหมือนกับการที่ผู้ส่งสารไปนั่งอธิบายให้ผู้รับฟังตัวต่อตัว เพราะเพียงสะกดผิดคำเดียวหรือสองคำ อาจทำให้ผู้อ่านเกิดความไม่ไว้วางใจผู้เขียน ขณะเดียวกันผู้เขียนพึงมีมารยาทในการเขียนโดยให้เกียรติกับผู้อ่านไม่ติเตียนผู้อ่าน ขณะเดียวกันหากผู้เขียนนำแนวความคิด หรือข้อมูลมากจากแหล่งใดพึงลงชื่อเจ้าของงานที่นำความรู้มาถ่ายทอด หรือนำแนวคิดมาทุกครั้ง
วัตถุประสงค์ในการเขียน
(สิริวรรณ นันทจันทูล)
๑. เขียนเพื่อเล่าเรื่อง เป็นการถ่ายทอดประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องราวเหตุการณ์ที่ผู้เขียนเคยประสบ หรือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้น ซึ่งสามารถถ่ายทอดผ่านสารดี ข่าว เป็นต้น
๒. เขียนเพื่ออธิบาย เป็นการบอกข้อรู้ หรือวิธีการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ชี้แจงเรื่องใดเรื่องหนึ่งให้เข้าใจ เช่น อธิบายความรู้เรื่องการใช้คอมพิวเตอร์ในชีวิตประจำวัน อธิบายขั้นตอนการประดิษฐ์ เป็นต้น
๓. เขียนเพื่อแสดงความคิดเห็น เป็นการเสนอความคิดเห็นในเรื่องต่างๆ เพียงอย่างเดียว หรือเป็นความคิดเห็นประกอบคำแนะนำ เช่นบทความแสดงความคิดเห็นในหนังสือพิมพ์รายวัน รายสัปดาห์ บทความวิจารณ์ฯ
๔. เขียนเพื่อโน้มน้าวใจ เป็นการเขียนชักจูงใจให้ผู้อ่านคล้อยตามความคิดเห็น ความรู้สึก และพฤติกรรม หรือปฏิบัติตามที่ผู้เขียนต้องการ เช่นเชิญชวนบริจาคทรัพย์ ชี้ชวนให้พับนกกระดาษส่งให้กำลังใจ เชิญชวนให้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมบางอย่าง
๕. เขียนเพื่อแสดงจินตนาการและความรู้สึก เป็นการถ่ายทอดความรู้สึกและจินตนาการของผู้เขียน เพื่อให้ผู้อ่านรับรู้ ตลอดจนเกิดความรู้สึกจินตนาการตามผู้เขียน งานเขียนในจุดประสงค์นี้ผู้เขียนอาจแฝงข้อคิด คติเตือนใจบางอย่างไว้ในงานเขียนเพื่อเป็นสารประโยชน์
รูปแบบงานเขียน
๑. งานเขียนประเภทข่าว (news) คือข้อเขียนเรื่องราวสถานการณ์ปัจจุบันในด้านต่างๆ ที่ประชาชนให้ความสนใจ หรือควรสนใจ มีความตรงไปตรงมา มีข้ออ้างองที่ชัดเจน เช่น มีชื่อปรากกฏว่าใครเป็นคนให้ข่าวสารดังกล่าว หรือรายงานจากสถานกรณีที่ใดเป็นต้น โดยผู้เขียนต้องไม่ใส่อารมณ์ ความรู้สึก หรือความคิดเห็นของตนเองลงไป
๒. งานเขียนประเภทบทความ (article) เป็นข้อเขียนที่ผู้เขียนมุ่งแสดงความรู้ ข้อมูลความคิดเห็นเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ผู้อ่านกำลังให้ความสนใจ ซึ่งอาจเขียนโดยนักเขียนประจำวารสาร หนังสือพิมพ์ หรือนิตยสารนั้นๆ หรือเขียนโดยนักเขียนอิสระที่ผ่านการคัดกรองจากบรรณาธิการหนังสือนั้นๆแล้ว
๓. งานเขียนประเภทบทวิเคราะห์ (analysis) เป็นการเขียนที่มุ่งแจกแจงข้อเท็จจริงต่างๆ ค้นหาสาเหตุ ผลกระทบ ของเรื่องใดเรื่องหนึ่งไม่ว่าเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องปัจจุบัน อดีต หรืออนาคตก็ตาม เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจเรื่องราว หรือเหตุการณ์ต่างๆได้อย่างแจ่มชัดมากขึ้น
๔. งานเขียนประเภทบทวิจารณ์ (criticize) งานเขียนที่เป็นการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นแล้ว หรือกำลังดำเนินอยู่ เช่น บทวิจารณ์ภาพยนต์หนังสือ ผลงานวรรณกรรม ผลงานรัฐบาล โดยผู้เขียนมุ่งแสดงความคิดเห็นทั้งทางบวกทางลบในด้านต่างๆ ที่เกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ ด้วยการเปรียบเทียบกับมาตรฐานใดมาตรฐานหนึ่ง หรือหลักการใดหลักการหนึ่ง
๕. งานเขียนประเภทสารคดี (feature) เป็นงานเขียนที่มุ่งให้สาระและความเพลิดเพลินกับผู้อ่านในลักษณะต่างๆ โดยมีข้อเท็จจริงจากผู้เขียนได้พบเจอไม่ว่าจะเป็นด้านการท่องเที่ยว วัฒนธรรม การเมือง สังคม โดยทำการรวบรวมข้อมูลมานำเสนอ และมีลักษณะของการนำเสนอแง่มุมของอารมณ์ ความรู้สึกของผู้เขียน สอดแทรกเข้าไปในข้อมูล และข้อเท็จจริงนั้น
๖. ข้อเขียนเบ็ดเตล็ด (variety) เป็นงานเขียนที่หลากหลายที่นอกเหนือจากงานเขียนที่กล่าวมาข้างต้น เช่น คอลัมน์ซุบซิบ บทสัมภาษณ์ถามตอบ บันทึกเป็นต้น
จากที่กล่าวข้างตน ผู้เขียนคือปัจจัยที่สำคัญที่สุดในงานเขียนเชิงวารสารศาสตร์ ดังนั้นผู้เขียนต้องรู้ วัตถุประสงค์ในการเขียนให้ชัดเจน และควรเลือกเรื่องที่จะเขียนให้เหมาะสม สอดคล้องกับรูปแบบงานเขียน กลุ่มผู้อ่าน ประเภทของสื่อ โดยผู้เขียนต้องเลือกเรื่องที่จะเขียนให้เหมาะสมกับเนื้อเรื่องบนช่องทางการสื่อสาสร และควรเป็นเรื่องที่ผู้เขียนมีความสนใจและคาดว่าผู้อ่านสนใจ หรือกำลังให้ความสนใจใคร่รู้ตลอดจนเป็นเรื่องที่ผู้เขียนมีความรู้จริง หรือมีข้อมูลที่ผู้เขียนสามารถเข้าถึงได้อย่างแน่ชัด ไม่นำเอาเพียงความรู้สึก หรือข่าวโคมลอยมาถ่ายทอดงานเขียน อันจะนำไปสู่การเขียนที่มีความชัดเจนและมีประสิทธิภาพในการสื่อสารผ่านงานเขียน
สรุปขั้นตอนการนำเสนอ
๑. Bias (อคติ)
๒. What to know, Need to Express (ความอยากรู้,ความอยากเล่า)
๓. ๕W๑H (ให้ยกตัวอย่างเยอะ)
๔. So what (คิดให้ได้.สรุปให้ได้)
๕. Don’t tell, please show (หลักการ อย่าใช้คำที่ไม่สื่อความหมาย “don’t tell,please show เช่น ความหรือ การ อย่าใช้เมื่อไม่จำเป็น หลักการนี้คือ ต้องยกตัวอย่างเยอะๆ เพราะคำพวกนี้ที่ขึ้นตนด้วย)
- หลักการเขียนบรรยาย มีหลักการสำคัญคือ การเขียนให้ผู้อ่านนึกภาพมาจากการอ่านคำบรรยายของผู้เขียน ดังนั้นผู้เขียนจึงบรรยายบอกรายละเอียดต่างๆทั้งที่มีลักษณะสำคัญและรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ โดยบรรยายอย่างเป็นลำดับขั้นจนทำให้ผู้อ่านวาดภาพตามสามารถเห็นได้ด้วยจินตนาการ
โดยมีหลักสำคัญในการเขียนเชิงบรรยาย คือ
๑. ผู้เขียนต้องมีเหตุผลและสมบูรณ์ในตัว ความชัดเจนหมายถึงจะต้องมีการบรรยายตามขั้นตอนและสมเหตุสมผล การเลือกใช้คำเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้ผู้อ่านเข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้ง
๒. ผู้เขียนต้องตอบคำถามแทนใจผู้อ่านให้ครบในเรื่องที่บอกเล่าว่าต้องการบอกเล่านั้น เป็นใคร อะไร ที่ไหน เมื่อไร อย่างไร ทำไหม และต้องขยายความต่อไปด้วยว่าเท่าใด
๓. การเขียนบรรยายที่มีประสิทธิภาพประกอบด้วย การใส่รายละเอียดให้เพียงพอ การเรียงลำดับเรื่องที่บรรยายอย่างเป็นลำดับขั้นเป็นธรรมชาติ และการบรรยายไม่ต้องอธิบายในสิ่งที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่เขียน
ลักษณะการบรรยาย
๑. การเขียนบรรยายบุคคล
ต้องอธิบาย บอกเพศ บอกวัย โดยประมาณ หรืออายุที่ชัดเจน อาชีพ หรือลักษณะที่บุคคลนั้นกระทำอยู่ บอกรูปร่างที่เด่นชัดของบุคคลนั้น ตลอดจนอธิบายนิสัย และอารมณ์ที่เห็นได้จากภายนอก
๒. การเขียนบรรยายสถานที่
ผู้เขียนต้องบอกลักษณะของสถานที่ว่า คืออะไร เช่น ตึก ตลอดจนบอกที่ตั้งภูมิศาสตร์ที่คนทั่วไปพอรู้จัก บอกลักษณะเด่น บอกที่ตั้ง ขนาดรูปทรง พร้อมทั้งให้รายละเอียดที่ทำให้ผู้อ่านเห็นภาพ โดยอธิบายบรรยากาศของสถานที่นั้นในช่วงเวลาที่ผู้อ่านไปเจอ ที่สำคัญผู้เขียนต้องโยงกับที่กล่าวถึงสถานที่นั้นต่อเรื่องที่จะเล่า
๓. การเขียนบรรยายสิ่งของ
สิ่งนั้นคืออะไร มีชื่อเรียกว่าอะไร บอกหน้าที่ประโยชน์ใช้สอยและบรรยายสภาพแวดล้อมที่สิ่งนั้นตั้งอยู่แห่งใด ในลักษณะใด พร้อมอธิบายลักษณะเด่นของสิ่งนั้น ผู้เขียนพึงเปรียบเทียบใกล้กับที่สิ่งที่ผู้อ่านคุ้นเคย เพื่อให้ผู้อ่านนึกภาพได้อย่างชัดเจน โดยผู้เขียนต้องเชื่อมโยงกับสิ่งที่เล่า
๔. การเขียนบรรยายคำพูด
การบรรยายด้วยคำพูดสนทนา เป็นวิธีการเล่าเรื่องที่มีประสิทธิภาพอีกลักษณะหนึ่งที่ทำให้ผู้อ่านเข้าถึงเรื่องราวต่างๆเสมือนอยู่ในเหตุการณ์นั้นได้ด้วย โดยมีหลักสำคัญคือต้องเขียนให้เป็นธรรมชาติ เขียนอย่างที่ผู้เขียนไปเจอมา เขาพูดจริง ถ้าเป็นภาษาถิ่นก็ในใส่ภาษาถิ่น
๕. การเขียนเปรียบเทียบ
เป็นการบรรยายให้ผู้อ่านสามารถนึกภาพที่ผู้เขียนต้องการบรรยายได้ง่ายขึ้น
ลักษณะคือ
๑. เปรียบเทียบถึงความละม้ายคล้ายคลึงกัน หรืออธิบายเปรียบเทียบเพื่อบอกถึงความแตกต่างซึ่งจะช่วยให้ผู้เขียนสามารถวาดภาพพจน์ให้ผู้อ่านเข้าใจ
๒. เลือกเปรียบเทียบสิ่งที่ใกล้ตัวผู้อ่านหรือผู้อ่านคุ้นเคย
๓. เปรียบเทียบสิ่งหนึ่งเป็นสิ่งหนึ่ง
วิธีการเล่าเรื่อง
มีการเล่าเรื่องเพื่อสื่อความหมายสำคัญ ๓ วิธี ได้แก่ ๑.) เขียนโดยผู้เขียนเป็นคนเล่าเรื่อง ๒.)เขียนโดยบุคคลอื่นเป็นคนเล่าเรื่อง ๓.) เขียนในมุมมองบุคคลที่สาม
๑. เขียนโดยผู้เขียนเป็นผู้เล่าเรื่อง หรือเรียกว่า เป็นวิธีเล่าเรื่องแบบที่ใช้สรรพนามบุรุษที่หนึ่ง (เช่น ผม.ฉัน.เรา) มีตัวผู้เขียนเป็นคนเดินเรื่อง
๒. การเขียนโดยบุคคลอื่นเป็นคนเล่า เป็นงานเขียนโดยให้บุคคลที่ผู้เขียนได้สนทนา พูดคุยด้วย เป็นผู้บอกเล่าเรื่องในงานเขียน มักพบในงานเขียนข่าว หรือสารคดี โดยผู้เขียนเป็นสื่อกลางถ่ายทอดข้อเท็จจริงสามารถเน้นคำพูด บอกเล่าผ่านเครื่องหมายคำพูด
๓. การเขียนเล่าเรื่องโดยใช้มุมมองของบุคคลที่สาม วิธีการเขียนลักษณะนี้ผสมผสานลักษณะสองอย่างข้างต้น เป็นการเขียนโดยเล่าเรื่องผ่านสายตา มุมมอง ของนักเขียน แต่ไม่มีใช้สรรพนามของผู้เขียนในเรื่อง ผู้เขียนเปรียบเสมือนถ่ายทอดในมุมมองของบุคคลอื่น เป็นวิธีการเขียนที่ผู้เขียนไม่ได้เขียนถึงเรื่องตน
สารคดี หมายถึง งานเขียนที่เป็นเรื่องราวเกี่ยวข้องกับข้อเท็จจริง เสนอเรื่องราวเกี่ยวกับบุคคลที่มีตัวตนจริง เหตุการณ์จริง มีเจตนาเบื้องต้นในการให้สาระ ความรู้ ความคิด ให้เกิดความเพลิดเพลินกับผู้รับสาร ทั้งนี้ต้องมีกลยุทธการเขียนโดยการหยับประเด็นหรือแก่นสำคัญของเรื่องมาเน้นย้ำการนำเสนอ
สารคดี หมายถึง เรื่องราวที่มีเนื้อหาสาระ เป็นเหตุการณ์ ที่เขียนเกี่ยวกับบุคคล หรือเหตุการณ์กับบุคคล หรือเหตุการณ์ที่เป็นจริงมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ความรู้ ความคิด และความเพลิดเพลินแก่ผู้อ่าน มีความน่าติดตาม
สารคดีกับบทความแม้มีลักษณะที่คล้ายคลึงกันมาก แต่จะต่างกันที่
สาระคดีมีความรู้เป็นแก่น มีความคิดเห็นเป็นส่วนประกอบ แต่บทความจะมีความคิดเห็นเป็นแก่น และมีความรู้เป็นองค์ประกอบ อีกทั้งสารคดีต้องใช้สำนวนโวหารที่คมคาย ลึกซึ้งชวนอ่านและให้ความสนุกสนานเพลิดเพลิน แต่บทความไม่คำนึงถึงความสนุกก็ได้
หลักการเขียนสารคดี คือความเป็นงานเขียนที่อยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริงทั้งหมด โดยประเด็นที่น่าสนใจ มีโครงเรื่องที่สามารถสร้างความเร้าใจน่าติดตามให้กับผู้อ่าน ด้วยการสร้างสรรค์ของผู้เขียน ตลอดจนมีการเลือกภาษาอรรถรสให้กับผู้อ่านได้เกิดจินตนาการ กินใจ ได้อารมณ์ ความรู้สึกในลักษณะต่างๆ ตามวัตถุประสงค์ของผู้เขียนได้.
คุณลักษณะของสารคดี
สรุปคือมี กว้าง ยาว ลึก
มิติสารคดีในด้านกว้าง คือ การเสนอเรื่องราวต่างๆอย่างรอบด้านทุกประเด็นสำคัญที่รอบตัวข้อมูลที่จะนำเสนอ
มิติสารคดีด้านยาว คือ การนำเสนอภาพที่ทำให้มองเห็นเข้าใจพัฒนาการอันยาวไกลจากอดีตสู่ปัจจุบัน จากยุคหนึ่งสู่ยุคหนึ่ง
มิติสารคดีด้านลึก คือ การนำเสนอเรื่องที่ลึกจากจิตวิญญาณของผู้คนที่มีความผูกพันอยู่กับสิ่งนั้นๆ หรือสิ่งนั้นก่อให้เกิดอารมณ์ หรือในด้านใดด้านหนึ่ง เช่นตื่นเต้น ตื่นตาตื่นใจ ปีติยินดี โศกสลด สนุกสนาน
ทั้งนี้มิติของสารคดีทั้งสามด้าน ควรถูกนำเสนออย่างเหมาะสมเพื่อปรับใช้ “หัวใจ” หรือ “แก่นกลาง” หรือประเด็นของเรื่อง (maim point) ที่ผู้เขียนบทต้องการนำเสนอ(ซึ่งควรจะต้องกำหนดไว้ตั้งแต่เริ่มก่อนที่จะลงมือเขียน)
จุดมุ่งหมายของสารคดี
๑. เพื่อให้ความรู้ อาจเป็นความรู้เฉพาะสาขาวิชา เช่น วิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ ภาษาศาสตร์ ซึ่งความรู้เฉพาะสาขาวิชาเหล่านี้เมื่อนำมาเขียนในลักษณะของสารคดีจะมีความน่าสนใจกว่า การเขียนเชิงวิชาการ การเขียนในเชิงวิชาการ เพราะการเขียนลักษณะนี้ต้องมีการเชื่อมโยงอธิบายความอย่างง่าย สามารถเขียนนำเสนอโดยการเปรียบเทียบ หรือบรรยายให้เห็นจริงอย่างง่าย ไม่เน้นภาษาวิชาการ แต่เน้นการทำให้คนทั่วไปได้เกิดความรู้ความเข้าใจโดยรวมได้
๒. เพื่อให้ข้อเท็จจริง ซึ่งอาจได้มาจากประสบการณ์ที่ผู้เขียนค้นคว้า รวบรวมมาจากประสบการณ์ของตนเอง หรือได้รับการบอกเล่าโดยมีหลักฐานที่น่าเชื่อถือ ซึ่งผู้เขียนจะนำมาเรียบเรียง หรือเล่าในรูปสารคดี เช่น สารคดีท่องเที่ยว สารคดีเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
๓. เพื่อแสดงความคิดเห็น หรือแนวคิด เป็นการให้แนวคิดที่เป็นประโยชน์ เพื่อส่งเสริมให้ผู้อ่านมีความคิดที่กว้างยิ่งขึ้น เช่น สารคดีเกี่ยวกับพัฒนาชุมชน
๔. เพื่อให้ความเพลิดเพลิน เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากที่สุด สารคดีบางเรื่องจึงเขียนให้เป็นสารคดีที่ไม่มีสาระวิชาการมากเกินไป ทั้งนี้เพื่อมุ่งสนองความต้องการของผู้อ่านเกิดความเพลิดเพลิน สนุกสนานไปกับเรื่อง ขณะเดียวกันก็ได้สาระความรุ้ ข้อเท็จจริง และความคิดเห็นด้วย เช่นสารคดีท่องเที่ยว ผู้เขียนจำนำชมสถานที่แปลกๆใหม่ๆ สวยๆ งามๆ โดยมีการพรรณนาความงามตามธรรมชาติ ด้วยถ้อยคำที่สละสลวย
ประเภทสารคดี
แบ่งตามเนื้อได้กว้างๆ ๔ ลักษณะ
๑. สารคดีวิชาการ เป็นเรื่องให้ความรู้วิชาการแขนงต่างๆเช่น วิทยาศาสตร์ ภาษา เกษตรฯลฯ
๒. สารคดีทั่วไป เป็นเรื่องให้ความรู้ทั่วๆไปเช่น การท่องเที่ยว การกีฬา งานอดิเรก ประเพณี วัฒนธรรมออกกำลังกาย ฯลฯ
๓. สารคดีชีวประวัติ เขียนเกี่ยวกับบุคคลที่มีชื่อเสียง หรือบุคคลที่มีความสามารถพิเศษผู้ที่เขียนจะต้องมีข้อมูลอย่างถูกต้อง ให้ความเป็นธรรม ปราศจากอคติลำเอียง
๔. สาระคดีแนะนำ จะมีเนื้อหาหลากหลายครอบคลุมการดำเนินชีวิตของมนุษย์ทุกแง่มุม ตั้งแต่ปัจจัยสี่ การประกอบอาชีพ พักผ่อนยอนใจ
องค์ประกอบและโครงสร้างการเขียนสารคดี
๑. คำนำ คือ การเริ่มต้นเรื่องที่จะเขียนโดยเกริ่นนำให้ผู้อ่านทราบเรื่องที่จะเขียนนั้นเกี่ยวกับเรื่องอะไร เป็นการเสนอทรรศนะอย่างกว้างๆไว้ก่อน ไม่ต้องอธิบายละเอียด และไม่ต้องเขียนยาวมากนัก มีเพียงย่อหน้าเดียว ควรมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความสนใจแก่ผู้อ่านให้ได้ทราบข้อมูล เรื่องที่น่ารู้น่าสนใจ
๒. เนื้อเรื่อง คือการ ขยายเนื้อความให้ผู้อ่านได้ทราบข้อมูล รายละเอียด โดยอาจแยกสถิติ ตัวอย่างประกอบ เพื่อความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น การเขียนอาจมีหลายย่อหน้า
๓. สรุป คือ การเขียนข้อความลงในตอนท้ายของเรื่อง ผู้เขียนต้องใช้ศิลปะในการสร้างความประทับใจแก่ผู้อ่าน อาจใช้กลวิธี เช่น สรุปโดยการใช้สำนวน คำพังเพย หรือคำคม หรือทิ้งท้ายด้วยคำถามน่าสนใจ หรือการเขียนสรุปมีย่อหน้าเดียว
ขั้นตอนการเขียนสารคดี
๑. เตรียมตัว ผู้เขียนต้องศึกษาเหตุการณ์ ติดตามเรื่องราว ศึกษาจากเอกสาร หนังสือ หรือการทดลอง เพื่อแสวงหาข้อเท็จจริง และเตรียมข้อมูล โดยต้องเลือกเรื่อง กำหนดจุดมุ่งหมาย ศึกษาแหล่งข้อมูล และเก็บรวบรวมข้อมูล ระยะเวลาเตรียมตัว เป็นระยะที่สำคัญมากต้องอ่าน ต้องสัมภาษณ์ ต้องดูของจริง เพื่อค้นหาหลักฐานประกอบสารคดี
๒. การลงมือเขียน เมื่อรวบรวมข้อมูลต่างๆได้พร้อมแล้ว ก็ลงมือเขียนโดยตั้งชื่อเรื่องโครงเรื่อง และลงมือเขียนรายละเอียดของเรื่องด้วยความตั้งใจ ใช้ภาษาที่ชัดเจน ไม่คลุมเครือ เร้าใจให้ผู้อ่านเกิดความประทับใจ และจูงใจให้ผู้อ่านสนใจติดตามต่อไประยะลงมือเขียนต้องขึ้นต้นให้น่าสนใจ อันจะเป็นการเรียกร้องความสนใจผู้อ่าน
๓. ทบทวนเรื่องที่เขียน
๔. ตรวจทาน
๕. การตั้งชื่อเรื่อง
การเขียนบทความ
๑. ความหมาย
บทความ คือความเรียงที่เขียนขึ้นโดยมีหลักฐานข้อเท็จจริง และเนื้อหานั้นผู้เขียนได้แทรกข้อเสนอแนะความคิดเห็น ข้อวิพากษ์วิจารณ์ความมีรูปแบบอย่างสร้างสรรค์ไว้ด้วย
รูปแบบบทความ มีรูปแบบการเขียนเหมือนกัน คือมีโครงเรื่องอันประกอบด้วยสามส่วนใหญ่ๆ ได้แก่ คำนำ เนื้อเรื่อง สรุป หรือคำลงท้าย
ความมุ่งหมายของบทความ บทความนั้นเขียนขึ้นเพื่อเสนอข้อคิดเห็นเกี่ยวกับ เรื่องราวหรือเหตุการณ์นั้นๆ
หัวข้อของบทความต้องทันสมัย ทันต่อเหตุการณ์ อยู่ในความสนใจของผู้อ่าน
บทความที่ดี คือ บทความที่อ่านเข้าใจง่ายและชัดเจน ที่ผู้อ่านจะได้รับสาระอย่างที่ผู้เขียนต้องการ
๒. ลักษณะของบทความ
- เป็นเรื่องที่ผู้อ่านส่วนมากกำลังสนใจในขณะนั้น
- มีแก่นสาร สาระ อ่านได้ความรู้ หรือความคิดเห็นเพิ่มเต็มไม่เลื่อนลอย
- ต้องมีข้อทรรศนะ ข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะของผู้เขียนแทรกด้วย
- มีวิธีเขียนชวนให้อ่าน อ่านแล้วท้าทายความคิดและสนุกสนานเพลิดเพลิน จากความคิดเห็นในถกเถียงนั้น
- มีเนื้อหาสาระและสำนวนภาษาเหมาะกับผู้อ่าน
๓. วัตถุประสงค์ของบทความ
หัวใจของบทความ คือ การเขียนเพื่อต้องการเผยแพร่เรื่องราวให้กลุ่มผู้อ่านหรือประชาชน ได้รับรู้ผ่านสิ่งพิมพ์ต่างๆ โดยมีวัตถุประสงค์ดังนี้
๑. เพื่ออธิบายความ ชี้แจงหรือให้ความรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่ง
๒. เพื่อบรรยายให้ผู้อ่านเห็นภาพของเหตุการณ์ สถานที่ หรือสภาพต่างๆ
๓. เพื่อโน้มน้าวใจ จูงใจ ให้ผู้อ่านคล้อยตามความคิดตน
๔. เพื่ออภิปรายเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมขณะนั้น
๕. เพื่อชี้นำให้ผู้อ่านเห็นด้วย และ ปฏิบัติตามความคิดเห็นของผู้เขียน
๔. ประเภทของบทความ
แบ่งเป็นประเภทใหญ่ๆ
๑. แบบสาระ(formal essay) คือบทความที่เน้นทางวิชาการ ผู้เขียนต้องการอธิบายความรู้อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นสำคัญ
๒. แบบปกิณกะ (informal essay) คือ บทความที่สาระกับผู้อ่านพร้อมๆกับให้ความสนุกเพลิดเพลิน
นอกจากนั้นยังแบ่งบทความตามลักษณะเนื้อเรื่องของบทความ ดังนี้
๑. บทความแสดงความคิดเห็น เป็นบทความหยิบหยกปัญหาสังคมนั้นมาเขียน โดยเป็นปัญหาส่วนรวม เช่น เศรษฐกิจ สังคม การเมือง
โดยแนวการเขียนมี ๒ แนว คือแนวยอมรับ และแนวโต้แย้ง โดยผู้เขียนเลือกแสดงความคิดเห็นด้านใดด้านหนึ่ง
วิธีการเขียน คือ แยกแยะปัญหา คืออะไร แล้วค่อย วิธีการแก้ปัญหาเป็นอย่างไร ผู้เขียนเห็นชอบ หรือไม่เห็นชอบ และให้เหตุผลที่ ชอบ หรือไม่ชอบ และสุดท้ายย้ำความคิดเห็นของตนเอง
๒. บทความประเภทสัมภาษณ์ เป็นบทความที่แสดงความคิดเห็นของบุคคลเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ ผู้เขียนบทความต้องรู้จัก ปละคัดเลือกบุคคลที่สัมภาษณ์
วิธีการเขียน คือทำได้ในรูปแบบ ถาม-ตอบ กล่าวคือ มีการแสดงคำถามและคำตอบ สามารถใช้เทคนิคอื่นๆเข้าช่วยเช่น บรรยายบรรยากาศสัมภาษณ์
๓. บทความประเภทกึ่งชีวประวัติ มีลักษณะคล้ายบทความประเภทสัมภาษณ์ต่างกันในแง่ บทความสัมภาษณ์ ต้องแสดงความคิดเห็นของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง เกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ส่วนบทความเชิงชีวประวัติ ต้องแสดงเรื่องราวกับตัวบุคคล แต่ไม่เน้นอัตชีวประวัติ เน้นที่ความสามรถพิเศษและคุณสมบัติพิเศษ เรื่องชีวประวัติเป็นเรื่องสำคัญรองมา
๔. บทความประเภทคำแนะนำ เป็นบทความที่ให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรืออธิบายวิธีการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
๕. บทความประเภทให้แง่คิด โน้มน้าวใจ คือ มุ่งให้ผู้อ่านกระตุ้นให้คิด หรือกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง
๖. บทความประเภทท่องเที่ยวเดินทาง เป็นบทความนำเสนอมุมมองทัศนะเกี่ยวกับประสบการณ์ของผู้เขียนที่ได้มีโอกาสเดินทางท่องเที่ยวชม ภูมิประเทศหรือสถานที่แปลกใหม่ๆ เป็นการเปิดหูเปิดตา
จุดมุ่งหมายของบทความสารคดีท่องเที่ยว คือ การชี้ชวน แนะนำ หรือกระตุ่นเตือนให้ผู้อื่นเกิดความรุ้สึกอยากไปพบเห็นด้วยตนเอง สถานที่แปลกใหม่ที่คนยังไม่กล้าที่จะไปเที่ยว
บทความประเภทท่องเที่ยวเช่นนี้แตกต่างจากสารคดีท่องเที่ยว คือ บทความจะบอกกล่าวอย่างตรงไปตรงมา แต่สารคดีท่องเที่ยวมักให้แง่มุมต่างๆตลอดจนอารมณ์ความรู้สึกจากบุคคลแวดล้อมในเหตุการณ์
วิธีการเขียนบทความท่องเที่ยว คือผู้เขียนควรมีประสบการณ์ด้วยตนเองมาก่อน และได้เดินทางจนถึงสถานที่นั้น ได้สังเกต จดจำสิ่งต่างๆมาเป็นอย่างดี แล้วถ่ายทอดประสบการณ์นั้นออกมาเป็นตัวหนังสือ นอกจากข้อเท็จจริงต่างๆแล้ว ข้อสังเกต เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยๆ คำเตือนใจ หรือข้อระวังในการปฏิบัติตนระหว่างเดินทางของผู้เขียนเคยประสบ หรือผิดพลาด จะช่วยให้เรื่องน่าสนใจ
นอกจากสองปะเภทใหญ่ข้างต้นยังมีบทความประเภทครบรอบปี..
วิธีการเขียนบทความ
o ก่อนเขียนบทความ ผู้เขียนต้องสืบเสาะหาความรู้เรื่องราวอันเป็นสาระมาเพื่อเป็นเนื้อหาแห่งการเขียน (ไม่ใช่แต่งขึ้น สมมุติขึ้น)
o การเขียนบทความให้ดี ผู้เขียนต้องรูจักการวางโครงเรื่อง เพราะจะทำให้ควบคุมการเขียน ให้เป็นไปตามแนวที่กำหนด อีกทั้งเป็นการป้องกันมิให้เขียนวกวน
o โครงเรื่อง คำนำ เนื้อเรื่อง สรุป
คำนำเกริ่นให้รู้ว่าจะเขียนเรื่องอะไร และต้องให้ชวนติดตาม
เนื้อเรื่องแบ่ง ๒ ตอน คือ ตอนแรกขยายตรงที่เกริ่นนำ ส่วนที่สองเป็นต้นไปเป็นรายละเอียด
บทสรุป เป็นการแสดงทัศนะข้อคิดเห็นของผู้อื่น หรือเหตุการณ์ต่อเรื่องนั้น รวมทั้งให้ข้อเสนอแนะหรือข้อสังเกตในการแก้ปัญหาด้วย
ลักษณะการเขียนบทความ
๑. ต้องไม่ลืมวัตถุประสงค์ของบทความ คือถ่ายทอดข้อมูล แง่มุมมาสู่ผู้อ่านให้ได้รวดเร็ว เข้าใจง่าย
๒. บทความที่สั้นมักได้รับความสนใจมากกว่าบทความที่ยาว
a. ลักษณะการเขียนความนำ เป็นส่วนที่ยากที่สุด การเขียนคำนำต้องประณีต เพื่อจูงใจผู้อ่าน ให้ติดตามเรื่อง
รูปแบบการเขียนคำนำ คือ
๑. การนำข่าวมากล่าวขึ้นตนเพื่อแสดงทัศนะ แง่คิด
๒. หรือข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนั้นต่อเนื่อง
๓. หรือนำเอาความคิดเห็นของผู้เขียนขึ้นเรื่องก่อนก็ได้ และนำหลักการเขียนคำนำดังกล่าวมาไว้ในข้างต้นมาปรับประยุกต์ใช้อาทิเช่น การขึ้นเรื่องด้วยคำถาม หรือสรุปใจความสำคัญของสิ่งที่ต้องการเขียนบทความถึง
b. การเขียนเนื้อเรื่อง เป็นส่วนที่ยาวที่สุด รวมรวมความคิดและข้อมูลทั้งหมด เป็นย่อหน้าและต้องมีความสัมพันธ์กลมกลืนกัน ไม่วกวน ถ้อยคำที่ใช้ถูกต้องตามพจนานุกรม
c. การเขียนบทสรุป ต้องทราบว่าต้องการบอกผู้อื่นที่เสนอมาทั้งหมดว่าอะไร เช่นสรุปแบบ ประทับใจ ฝากให้ไปคิดและทิ้งปัญหาไว้กับผู้อ่าน การเขียนสรุปลงท้ายมีหลายรูปแบบ เช่น
๑. สรุปด้วยคำถามที่ชวนให้ผู้อื่นคิดหาคำตอบ
๒. สรุปด้วยการแสดงความประสงค์ของผู้เขียน
๓. สรุปด้วยการใช้คำกล่าว คำคม บทกวี เป็นต้น
แนวทางการเขียนบทความที่มีประสิทธิภาพ
- เริ่มจากเลือกเรื่องที่จะเขียน
- บทความที่ดี คือ สามารถอธิบายบางสิ่งบางอย่างให้ประโยชน์กับผู้อ่าน
โดยแนวทางสรุปได้ดังนี้
๑. นักเขียนพึงวางแผนการเขียนของตนเสียก่อน โดยหลักง่ายคือ
a. วางเค้าโครงหัวข้อย่อยต่างๆ
b. หากผู้เขียนสามารถนึกจุดสำคัญลองเขียนลงไปก่อนในหัวข้อย่อย
c. จัดเรียงลำดับหัวข้อย่อย ความต่อเนื่องของเนื้อหา เพื่อให้ผู้เขียนลำดับความคิดและติดตามเรื่อง
๒. การเริ่มต้นการเขียนบทความที่ดี
ควรเริ่มกันตั้งแต่ชื่อบทความ
ข้อความย่อหน้าแรก และหัวข้อย่อยบทความ (ความน่าสนใจ และความ สำคัญอย่างไร และจะได้ประโยชน์อะไร
ชื่อเรื่องบทความ ต้องมีความน่าสนใจ และบอกกับผู้อ่านว่าเกี่ยวกับอะไร
๓. การเขียนไม่ควรให้ข้อความของแต่ละย่อหน้ายาวเกินไป เพราะยาวมากผู้อ่านจะล้าสายตา
a. แต่ละย่อหน้าไม่ควรเกิน ๑๕-๒๐ บรรทัด
b. ถ้าย่อหน้าไหนเนื้อหาย่อหน้าเดียวกัน ยาวเกินไปสามารถตัดทอนได้ แบ่งเป็นย่อหน้าใหม่
c. ผู้เขียนไม่ควรใช้ศัพท์เทคนิคมากเกินไป
การวางแผนการเขียน คือ การหาความคิด การแยกแยะความคิดที่หามาได้ และการเรียงลำดับความคิดนั้น การจัดเรียงที่เหมาะเจาะทำให้คนรับรู้เนื้อหาต่างกัน ต้องเลือกเสียก่อนว่าจะเขียนอะไร แนวไหน สำหรับเรื่องที่กำหนดไว้ การจัดลำดับการเขียนไม่มีเกณฑ์แน่นอน / รูดอล์ฟ เฟลซ
หลักการวางแผนงานเขียนทางวารสารศาสตร์ที่ดี คือ นักเขียนทุกคนมองและคิดหัวเรื่องที่น่าสนใจ และไม่มีผู้นำเสนอมาก่อน มากำหนดเป็นหัวเรื่องที่จะทำ แสวงหาข้อมูล ข้อเท็จจริงๆต่างๆ มานำเสนอ...
หลักการเลือกหัวเรื่องสำหรับงานเขียน
หลักการเลือกหัวเรื่องเป็นขั้นตอนที่ยากที่สุด..ในงานด้านวารสารศาสตร์ โดยต้องหาความคิดในการเขียนเรื่อง โดยมีวิธีการ ๓ ทางด้วยกัน คือ
๑. จากประสบการณ์ส่วนตัว
๒. จากประสบการณ์ผู้อื่น
๓. จากการอ่านหนังสือ (โดยจะต้องไม่เขียนซ้ำกับเรื่องที่มีมาแล้ว)
เทคนิคการคิดหัวเรื่อง
๑. การผสมหัวเรื่องเพื่อกำหนดประเด็น
- ขั้นตอนแรกผู้เขียนพึ่งคำนึงถึงคือกลุ่มเป้าหมาย ว่าเป็น ใคร? สนใจอะไร?
- รวบรวมจัดเป็นหัวข้อคร่าวๆ
- หลังจากนั้นจัดหมวกหมู่ หาความสัมพันธ์ หรือเอาหัวข้อนั้นมาโยงเข้าหากัน จะทำให้ประเด็นที่น่าสนใจมากยิ่งขึ้น
๒. การย่อยหัวเรื่องเพื่อกำหนดประเด็น
- ทำให้ผู้เขียนมีทางเลือกที่จะค้นคว้าและ
- กำหนดหัวเรื่องที่จะเขียนให้สอดคล้องกับความสนใจผู้อ่าน และ
- ประเภทของช่องทางที่จะนำเสนองานเขียน
๓. การเลือกหัวเรื่องโดยใช้หลักการเป็นข่าว
หลักการสร้างความสนใจร่วมในงานเขียน
ผู้เขียนพึงระลึกอยู่เสมอว่ากำลังผลิตงานเขียนให้ใครอ่าน อาจแยกพิจารณาตามช่องทางการเผยแพร่งานเขียนไม่ว่าจะเป็นนำเสนอหรือตีพิมพ์ เพราะช่องทางการเผยแพร่มักมีกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน เมื่อเรารู้กลุ่มเป้าหมายเราก็เริ่มวางแผนงานเขียนได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ตั้งแต่การกำหนดหัวเรื่อง การเลือกใช้ระดับภาษา และลีลาการนำเสนอ
ในขณะเดียวกันผู้เขียนเองก็ต้องมีความยากที่จะเขียน หรือ นำเสนอเรื่องนั้นให้ผู้อ่านได้รับทราบ ซึ่งเปรียบเสมือนแรงบันดาลใจ ความอยากเล่า อยากนำเสนอเรื่องราวที่เป็นประโยชน์กับผู้อ่าน อยากให้ผู้อ่านได้รับความรู้ความคิด ในแง่มุมที่แตกต่าง
โดยลักษณะดังกล่าวจะทำให้เกิดการสื่อสารที่ดี คือ ความสนใจร่วมระหว่างผู้เขียนและผู้อ่าน
หลักการรับรู้กับการคิดงานเขียน
เป็นประโยชน์กับกับคิดงานเขียนกล่าว คือ
๑. การรับรู้ผ่านความตั้งใจ คือ มองผ่านมุมมองตนเอง ผ่านมุมมองความคิดเห็นที่เหมือนกับความต้องการของคนอื่นๆ แต่เรานำเสนอในมุมมองที่แตกต่างไป เช่น คนสนใจส่วนใหญ่ โยหลักการนี้ ผู้เขียนต้องคิดหัวข้อกว้างๆก่อน ว่างานเขียนของตนเองมีเป้าหมายผู้อ่านกลุ่มใด
๒. การรับรู้ผ่านความประทับใจ
๓. ความสำคัญของสิ่งใกล้ตัว
๔. หลักความเท่าเทียมกัน
หลักการรวบรวมข้อมูลเพื่องานเขียนเชิงวารสารศาสตร์
- เริ่มค้นหาจุดมุ่งหมายงานเขียนที่แน่นอน
- แสวงหาข้อมูลประกอบการคิดและการเขียน
- วิเคราะห์ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล / ความน่าเชื่อถือของข้อมูล
o ข้อมูลอาจหามาได้ ๓ ประเภท กล่าวคือ
ข้อมูลจดบันทึกไว้ที่ต่างๆ
ข้อมูลได้จากการจดจำของผู้เขียน
ข้อมูลที่ได้จากวิเคราะห์ของผู้อื่น
การวางแผนการเขียน
1. หาเรื่อง โดยการ สร้างอคติ bias
2. หาข้อมูล โดย การสังเกต การสัมภาษณ์/พูดคุย ค้นคว้าจาก เอกสาร อินเตอร์เน็ต ฯลฯ
3. วางประเด็น(ประมวลหาประเด็นองค์ประกอบน่าสนใจ) เหมือนองค์ประกอบของข่าว
a. ความใกล้ชิด
b. ความเด่น
c. ความแปลกประหลาด (สังเกตข่าวช่วยหวยออกมี agenda setting)
d. ผลกระทบกระเทือน(เชิงกายภาพและกระทบต่อคนส่วนใหญ่)
e. ความขัดแย้ง
f. ความมีเงื่อนงำ
g. ปุถุชนสนใจ
h. เพศ
i. ความขับขัน
j. ความเปลี่ยนแปลง
หลักการวางโครงเรื่องในงานเขียน
การวางโครงเรื่อง คือ การจัดระเบียบความคิดในการเขียนให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันและอยู่ในกรอบที่กำหนดไว้ เมื่อผู้เขียนเลือกเรื่องที่จะเขียน และจำกัดขอบข่ายเรื่องได้อย่างชัดเจนแล้ว ขั้นตอนจ่อไปต้องเตรียมแนวเรื่องหรือโครงเรื่องเป็นประเด็น จากประเด็นหลัก ไปสู่ประเด็นย่อย โดยประเด็นย่อยต้องสนับสนุนหรืออยู่ในขอบข่ายประเด็นหลักเสมอ...
ประเด็นหลักของเรื่อง คือ ส่วนที่สำคัญที่เป็นตัวบอกโครงเรื่อง และเนื้อหาหลักที่ต้องการนำเสนอ กฎพื้นฐานการเขียนเรื่องก็คือ ความเป็นเอกภาพ งานเขียนที่ดีควรเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับประเด็นใดประเด็นหนึ่งเพียงชนิดเดียว ซึ่งควรบอกผู้อ่านเนิ่นๆ ในการเริ่มต้นงานเขียน เพราะทำให้ผู้อ่านเริ่มจินตนาการไปกับข้อเขียนได้อย่างถูกต้องตามเนื้อหาและวัตถุประสงค์ที่ผู้เขียนต้องการส่งถึงผู้อ่าน (วิบูลย์ )
โครงเรื่องงานเขียนทั่วไป
การเขียนคำนำ (introduction)
การเขียนคำนำ คือ การเขียนเพื่อเปิดประเด็นบอกกล่าวกับผู้อ่านว่ากำลังนำเสนอเนื้อหาใด และเรื่องนั้นมีความน่าสนใจ หรือมีความสำคัญอย่างไร
การเกริ่นนำเพื่อเชื่อมโยงเข้าสู่ประเด็นหลักของเรื่อง โดยบทนำต้องมีความน่าสนใจเพื่อดึงดูดผู้อ่านให้สนใจเรื่องต่อไป
การเขียนประเด็นหลัก (main idea)
การเขียนประเด็นหลัก คือการเขียนเพื่อนำเสนอประเด็นสำคัญ หรือแนวคิดหลักของเรื่องที่ผู้เขียนต้องการส่งไปยังผู้อ่าน โดยมีประโยตสำคัญหลักชัดเจนที่แสดงให้เห็นว่า ผู้เขียนต้องการบอกอะไรกับผู้อ่าน ผู้เขียนต้องการส่งสารอะไรให้กับผู้อ่านได้รับรู้ ซึ่งไม่หนีไปจากหัวเรื่องที่กล่าวไว้ในข้างต้น โดยผู้เขียนมักนำเสนอต่อเนื่องจากบทนำเป็นสำคัญ
การเขียนบทสรุป (conclusion)
การเขียนบทสรุป คือการเขียนส่วนจบเรื่องเพื่อ กระชับ ย้ำประเด็นให้ผู้อ่านเข้าใจ หรือได้ครุ่นคิดในประเด็นของเรื่อง หรือควรเป็นส่วนทิ้งท้ายให้ผู้อ่านพอใจ เกิดการยอมรับ และเห็นคล้อยตาม หรือเข้าใจอย่างลึกซึ้ง การเขียนบทสรุปนั้นถือว่าเป็นการเขียนเชื่อมโยงเข้าสู่จุดจบของเรื่อง เพื่อให้ผู้อ่านเกิดความเข้าใจในเรื่องที่นำเสนอมาทั้งหมด โดยการเขียนสรุปต้องสอดคล้องกับบทนำ และประแด็นหลักของเรื่องให้ข้อคิดหรือเสนอแนะทางออก
โดยการอธิบายความ บรรยายเรื่องราว แสดงคำกล่าว หรือยกตัวอย่างประกอบยืนยัน
๑. บรรยายบรรยากาศห้องสอบในนิตยสารใต้ฟ้าราม
๒. การเขียนสารคดี สารคดีท่องเที่ยว กับบทความท่องเที่ยว เช่น นครนายก แต่อาจารย์จะเปลี่ยนข้อมูล จะเขียนอย่างไร ตั้งข้อมูล หาประเด็นอย่างไร บทความท่องเที่ยวกับสารคดีท่องเที่ยวต่างกันอย่างไร ?
วางประเด็นดังนี้
- สารคดี คืออะไร สารคดีท่องเที่ยวมีจุดมุ่งหมายอะไร
- บทความท่องเที่ยว มีวัตถุประสงค์อย่างไร หัวใจอยู่ตรงไหน ? โดยเราต้องย้อนกลับไปดูวัตถุประสงค์การเขียนบทความ คืออะไร ? เช่น อธิบายให้กระจ่าง ชี้นำให้คิดตาม ทำตาม
- บทความท่องเที่ยว กับสารคดีท่องเที่ยว
- บทความมีหลายประเภท บทความเชิงสาระ เช่น งานวิชาการต่าง อะไร คืออะไร เป็นอย่างไร บทความ เชิงปกินกะ ก็หมายถึงรายการวาไรตี้นั้นเอง เบ็ดตาเล็ต สัพเพเหระ เขียนอะไรก็ได้ที่อยากจะเขียน พวกคอลัมน์นีต ต่างๆ ไปเจออะไรมาก็เก็บมาเล่า เช่น ไปเจอร้านน้ำชา ร้านเหล้ายาดอง โดยต่างจากบทความเชิงสาระคือบทความปกินกะเน้นความเพลิดเพลิน เหล่าไปเรื่อยเหมือนสภากาแฟ เช่น บทความกาละแมร์ในมติชน บทความประเภทสัมภาษณ์ ไม่ใช่ QA อย่างเดียว มีรูปแบบการสัมภาษณ์ประกอบในบทความ โดยมีการเกริ่นเรื่อง นำเรื่อง มีประเด็น เข้าสู่เรื่อง และปิดท้าย โดยจะมีการถ่ายถอดคำพูดลงไปในบทความ บทความกึ่งชีวประวัติ ต่างจากบทความชีวประวัติอย่างไร คือ ชีวประวัติเป็นการเล่าเชิงประวัติสาสตร์ เล่าประวัติของตัวเอง ตั้งแต่เกิดเป็นต้นมา กึ่งชีวประวัติก็คือเป็นการเล่าชีวประวัติของตัวเองหรือผู้ใดผู้หนึ่ง บวกกับความคิดเห็นของผู้เขียน เช่นจะเล่าบทความกึ่งชีวประวัติ เช่น สืบนาคะเสถียร คือเล่าประวัติและสลับกับแง่คิดของผู้เขียน เช่น ถึงแม้สืบฯจะตายแต่กระแสอนุรักษ์ยังอยู่ ฯลฯ ข้อสรุปเล่าชีวิตคนนั้น บวกข้อสรุป บวกด้วยทัศนะ บวกข้อคิดจากผู้เขียน บวกฉากตอนต่างๆ ที่เกิดขึ้น บทความพวก How to เช่น แนะนำ คำกลอน บทความให้แง่คิด โน้มน้าวใจ บทความท่องเที่ยว คืออะไร โครงสร้างบทความ?
คำถาม ถ้าให้คุณเขียนบทความสารดีท่องเที่ยวนครนายก กับ บทความท่องเที่ยวนครนายก จะมีวิธี หลักการรวบรวมข้อมูล วางโครงเรื่อง และเขียนอย่างไร จงเขียนเปรียบเทียบกันให้เห็นจริง? เข้าใจ คือ เข้าถึงหัวใจ ๒ ข้อของการเขียนคุณก็จะเข้าใจความแตกต่างคุณก็จะเขียนอธิบายได้? ข้อสังเกต ต้องตั้งหลักการวางหลักการให้ดี แล้วจะเห็นความต่าง และสรุปได้
๓. อะไรคือหัวใจของงานเขียนทางวารสารศาสตร์ในทัศนะของคุณ
จงอภิปราย(ความต่างระหว่างอภิปรายและอธิบาย / อภิปรายคือ ตอบอะไรก็ได้แต่ขอให้มีเหตุมีผลและหลักการ มีหลักฐาน มีข้อมูล มีตัวอย่างมายืนยัน สนับสนุน โดยเราต้องอภิปราย เช่น เมื่อได้อ่านหนังสือไป อ่านเรื่องนี้ไป / ส่วนอธิบาย คือมีถูกมีผิดชัดเจน)
ความนำ แก่นเรื่อง สรุป (บทความต้องคมๆหน่อย) บทความต้องไม่ยาวไม่เกินสองหน้าการวางแผนการเขียนบทความ ถ้าเกิดต้องเขียนบทความท่องเที่ยว ต้องหาแง่มุม หาเรื่องที่คนส่วนมากไม่ค่อยเขียน เช่น บทความท่องเที่ยวนครนายกคุณจะเอาแง่มุมอะไร ? ตัวอย่างโฆษณาท่องเที่ยว ของ ททท.
๔. การเขียนบทนำ บทสรุป ถามความจำ วิธีการเขียน วิธีการคิดหัว บทสรุปเช่น แง่คิด ตอกย้ำ ทิ้งคำถาม
๕. สารคดี (อันก่อนให้เปรียบเทียบ) ถ้าหากคุณได้รับมอบหมายให้ทำสารคดีเรื่องวิกฤติ.................คุณจะมีวิถี การหาหัวข้อ ตั้งหัวเรื่อง รวบรวมข้อมูล และนำเสนออย่างไร เช่น วิกฤติรามคำแหง เช่น หลักการคิดหัวข้อ ย่อยหัวข้อ วิกฤตคืออะไร เช่น วิกฤติราคำแหง ยุคประชานิยม ยุคไอที เช่นเด็ก ป.๑ ใช้ไอแพด รามคำแหงตามทันไหม
ขอให้ทุกคนโชคดีครับ..สรุปโดยอาณาจักรโกวิทย์
๒๖ กันยายน ๕๔
บรรยากาศกลางวันเป็นวิชาการ ณ ห้องสมุดชั้นหนึ่ง และกลางคืนอันเงียบสงบใช้หัวใจแทนสมองครุ่นคิด..
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น