วิชา TV102
บรรยายโดย อาจารย์ จเลิศ วงษ์ เจษฎาวัลย์
บรรยายวันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๕๔
เวลาเรียน เทอมนี้ ๙ คาบ
๑. เอกสารประกอบคำบรรยายที่คณะ
๒. หนังสือนอกเวลา “พระอาทิตย์คืนแรมฯ
๓. ดูภาพยนตร์ “อาคิระ คูโรซาว่า”
กรอบการเรียนการสอนวิชา 102
เป็นการศึกษาการปูพื้นฐานเรื่องกาสื่อสารเบื้องต้น ระบบการสื่อสารในสังคมว่ามีอะไรบ้าง ภายใต้ระบบการสื่อสารมีระบบคิดอะไร ทำอะไรให้เราคิด และสื่อสารไปแบบนั้น
วิชานี้เน้นที่ตัวผู้รับสาร เป็นพิเศษ คือเราทำความเข้าใจกับตัวเราเอง ทำไหมเราถึงคิดแบบนั้น การที่เราเข้าใจผู้ส่งสารได้ เราก็เข้าใจผู้รับสารได้ ด้วยการรู้จัดตนเอง
รายงาน ภาค ๒/๕๔
๑. ทัศนภาพการสื่อสาร (คือมองภาพเรากับเพื่อน โดยคุยกับเพื่อนว่าคิดอย่างไรกับตัวเรา)
๒. Who am I เขียนประวัติส่วนตัวของเรา ตั้งแต่เกิด ผ่านอะไรมาบ้าง จนถึงปัจจุบัน
๓. สร้างคุณลักษณะของคนเขียนสื่อ(การพัฒนาบุคลิกภาพ) การวิเคราะห์ตัวเรา
๔. รวบรวมรายชื่อบุคคลที่มีชื่อเสียงในวงการมา ๑๐ วงการ วงการละ ๓ คน โดยบอกชื่อ ตำแหน่ง หน้าที่การงาน
๕. อ่านหนังสือ“พระอาทิตย์คืนแรมฯ โดยย่อสรุปเนื้อเรื่องมา ,หาประโยคใจความสำคัญของเรื่องมา ๑๐ ประโยค โดยให้เลือกมา แล้วบอกด้วยว่าเขาเขียนว่าอะไร กินใจเราตรงไหน โดยให้อธิบาย ประโยคนั้นหมายความว่าอย่างไร , อธิบายความหมายของตัวละคร ๓ ชื่อโดยเราเลือกมา
๖. วิจารณ์ภาพยนตร์ เรื่อง ราโชมอน โครคือฆาตรกรตัวจริง และอธิบายความจริง กับความลวง เมื่อเปรียบเทียบเรื่องราโชมอน กับสังคมปัจจุบัน
หมายเหตุ :
- รายงานห้ามลอก ห้าม Copy จากอินเตอร์เน็ต หรือ นำของรุ่นพี่มาส่ง เพราะอาจารย์จะตรวจเช็คอย่างละเอียด ถ้าทราบจะให้ปรับเป็น ศุนย์
- ต้องทำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด โดยใครไม่ทำตามคำสั่งอาจารย์จะส่งงานกลับคืนให้ โดยถือว่าเป็นงานไม่ได้คุณภาพ
เนื้อหาบรรยายคาบแรก ๖ ธ.ค. ๕๔
กรอบอ้างอิงกับการสื่อสาร
การอ้างอิงของมนุษย์ (fram of Refernce)
๑. ความคิด
๒. ประสบการณ์
๓. ทัศนคติ
๔. ความเชื่อ
๕. ความรู้
๖. ความสนใจ
๗. เป้าหมายชีวิต
๘. ความต้องการ
๙. ค่านิยม
๑๐. ความสามารถในการสื่อสาร
๑๑. ความเข้าใจในคนที่มีทัศนคติตรงข้ามกับเรา
โดยแต่ละคนมีกรอบอ้างอิง คือ การมองสิ่งต่างๆที่ได้พัฒนามาตั้งแต่เกิด ซึ่งทำให้คนแต่ละคนมีทัศนะคติต่างกัน เราไม่สามารถเข้าใจกรอบอ้างอิงของผู้อื่นได้อย่างสมบูรณ์ และผู้อื่นไม่สามารถเข้าใจกรอบอ้างอิงของเราได้อย่างสมบูรณ์เช่นกัน
แม้เราจะติดต่อสื่อสาร แม้จะเป็นภาษาเดียวกัน แต่บางครั้งไม่สามารถเข้าใจกันได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ
๑. การรับรู้ คือ ขอบข่ายการรับรู้ของเรา
๒. การวิเคราะห์ คือ เราต้องมีข้อมูลที่มาก อ่านมากรู้มาก
๓. ความรู้สึกในการนำทัศนคติต่างๆมาประมวลเข้าด้วยกัน
แนวความหมายของการสื่อสาร
การสื่อสาร คือ การเชื่อมโยงความรู้สึกต่างๆ ของบุคคลที่ทำการสื่อสารเข้าด้วยกัน
- ถ้าคนเราสองคน พูดและฟังอย่างตั้งใจ การสื่อสารนั้นย่อมประสบความสำเร็จ
- ส่วนการพูดอย่างเดียวโดยไม่พยายามสื่อความเข้าใจกันให้แจ่มแจ้ง ย่อมไม่เกิดประโยชน์เท่าที่ควรจะทำให้เกิดการสื่อสารที่ล้มเหลว
แนวความคิดเรื่องการสื่อสาร
๑. การสื่อสารเป็นกรับวนการที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา(เหมือนเข็มนาฬิกา)
๒. การสื่อสารเป็นกรับวนการย้อนกลับไม่ได้ (เหมือนสายน้ำที่ไหม่ไหลย้อนกลับ ดังนั้นจึงต้องคิดก่อนพูด)
๓. การสื่อสารเป็นกระบวนการที่มีความเคลื่อนไหวในความคิด (โดยสิ่งที่กำกับได้ คือ ประสบการณ์/การลงมือทำ/ลงภาคสนามและปฎิบัติจริง)
พฤติกรรมการสื่อสารไม่อาจแยกจากจิตวิทยา หรือพฤติกรรมทางสังคม ของแต่ละบุคคลได้ เราต้องเช้าใจ หรือสิ่งเร้า การรับ อารมณ์ ความเชื่อ และความรู้สึก ดังนั้นคณะเรา จะเป็นตัว C ส่วน SMR นำมาจากศาสตร์อื่น
๔. การสื่อสารเป็นกระบวนการปฎิสัมพันธ์ ๒ ประเภท
- ปฎิสัมพันธ์ภายในตัวบุคคล คือ การสื่อสารกับตัวเราเอง
- ปฎิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล คือ การสื่อสารกับบุคคลอื่น
พฤติกรรมการสื่อสาร แบ่งเป็น วัจนภาษาและอวัจนภาษา ซึ่งเราจะต้องเข้าจะเพื่อจะช่วยให้เราสื่อสารกับบุคคลอื่นได้เป็นอย่างดี
๕. การสื่อสารเป็นกระบวนการที่มีบริบท
บริบท คือ เวลา สถานที่ กาลเทศะ
ความหมายของบริบท
การสื่อสารไม่ได้เกิดขึ้นอย่างเป็นเอกเทศ ไม่ได้เกิดขึ้นในที่ว่างเปล่า แต่จะต้องมีความเกี่ยวข้องกับ เวลา สถานที่ และกาลเทศะ อาศัยการรับรู้ ของมนุษย์ต่อสิ่งแวดล้อม ความหมายของการสื่อสารจึงต้อง ประกอบด้วยคุณลักษณะทางกายภาพมากมาย เช่น แสงสี การจัดขึ้นฯลฯ นอกจากนั้นยังรวมถึง วัฒนธรรมของสังคมนั้นๆ รวมเรียกว่า บริบทของการสื่อสาร
ระบบการสื่อสาร มี ๓ ระบบ
๑. ระบบการสื่อสารในตัวบุคคล
๒. ระบบการสื่อสารระหว่างบุคคล
๓. ระบบการสื่อสารวัฒนธรรมทางสังคม
คาบหน้า ศึกษา การสื่อสารกับเพื่อนในห้องเรียน และวัฒนธรรมทางสังคม
ข้อความที่เขียน บนบล๊อกนี้ ผู้เขียนเรียบเรียงขึ้นจากการเข้าเรียน โดยการถ่ายทอดจากครูที่เป็นผู้สอน การคัดลอก ข้อมูลในบล๊อกนี้ผู้เขียนยินดีเสมอ ถ้าเกิดประโยชน์ และเกิดการแพร่หลายในความรู้ วิชาการ...ข้อมูลอาจมีผิดพลาด หลายประการ โปรดระลึกอยู่เสมอว่าข้อมูลนี้เป็นเพียงข้อมูลขั้นต้น ที่ยังไม่ได้อ้างอิงตามหลักวิชาการ ผู้เขียนขอขอบคุณ ครูบาอาจารย์ทุกท่านที่อบรมสั่งสอน ผู้เขียนได้อ้างอิงไว้แล้วในงานเขียนบล๊อกนี้
วันอังคารที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2554
วันอังคารที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2554
หลักการเขียนเบื้องต้น
เรียบเรียงจากคำบรรยาย และสรุปจากเอกสารประกอบการเขียนเชิงวารสารศาสตร์
อาจารย์สุระชัย ชูผกา
เรียบเรียงโดย อาณาจักร โกวิทย์
ความหมายของ การเขียน คือ การแสดงความรู้ ความคิด ความรู้สึก และความต้องการ ของผู้ส่งสารออกไปเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อให้ผู้รับสารเข้าใจ ได้รับทราบความรู้ ความคิด ความรู้สึก และความต้องการเหล่านั้น การถ่ายทอดโดยใช้ภาษาถ้อยคำเขียนเพื่อสื่อความหมาย
การเขียนควรมีการใช้ถอยคำสำนวนที่เป็นการเฉพาะกับกลุ่มเป้าหมายผู้อ่าน แต่อย่างไรก็ตามไม่ว่าผู้อ่านกลุ่มใด การเขียนต้องเขียนให้แจ่มแจ้ง เพราะผู้อ่านไม่สามารถไต่ถามผู้เขียนได้ว่าไม่เข้าใจ ผู้เขียนให้ได้ดี ต้องใช้ถ้อยคำให้เหมาะสมกับผู้รับสารโดยพิจารณาว่าผู้รับสารสามารถรับสารที่ส่งมาได้มากน้อยเพียงใด
ดังนั้น หลักการเขียน หมายถึง การถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดและความต้องการของบุคคลออกมาเป็นสัญลักษณ์ คือ ตัวอักษร เพื่อสื่อความหมายให้ผู้อื่นเข้าใจจากข้อความข้างต้น คือมองให้เห็นภาพของการเขียนว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการสื่อสารในชีวิตประจำวัน เช่น บันทึกนักเรียน บันทึกประจำวันฯลฯ
ความหมายของ วารสารศาสตร์(Journalism) หมายถึงวิชาที่ว่าด้วยการพิมพ์ที่เผยแพร่เนื้อหา ข่าวสารต่อสาธารณะ ที่มีรูปแบบการดำเนินการโดยมีกองบรรณาธิการ มีผู้เขียนคอลัมน์ที่เชียวชาญในเรื่องราวต่างๆ อย่างกว้างขว้าง เน้อหาจึงมักมีความหลากหลาย เป็นวิชาที่ว่าด้วยสิ่งพิมพ์ ทั้ง หนังสือพิมพ์ นิตยสาร วารสาร ที่มีการตีพิมพ์ลงบนแผ่นกระดาษ หรือวัสดุต่างๆ รวมถึงพิมพ์ลงบนเว็บไซต์ ในการสื่ออินเตอร์เน็ตอีกด้วย ที่มีการออกตามวาระต่างๆ
สรุป การเขียนเชิงวารสารศาสตร์ จึงหมายถึงการเขียนเพื่อให้ข้อมูลข่าวสาร แสดงความคิดเห็น ให้ความบันเทิง หรือเพื่อสื่อสารในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ทางใดทางหนึ่ง ผ่านการสื่อสารประเภทต่างๆ ที่มีวาระการเผยแพร่ โดยการเขียนเชิงวารสารศาสตร์ มุ่งเน้นนำเสนอเรื่องราวต่างๆที่อยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริง (non fiction) ไม่ใช่เขียนเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
งานเขียนเชิงวารสารศาสตร์ นอกจากผู้เขียนต้องนำเสนอข้อเท็จจริงแต่เพียงอย่างเดียวแล้ว ผู้เขียนในงานเชิงวารสารศาสตร์อาจมีการนำเอาอารมณ์ ความรู้สึก ความคิดเห็นของตนเอง ผสมผสานไปกับข้อเท็จจริงได้ เช่น งานเขียนประเภทสารคดี บทความแสดงความคิดเห็น แต่ทั้งหมดข้อเขียนเหล่านี้ต้องอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงเป็นสำคัญ
คุณลักษณะนักเขียน
ผู้เขียนพึงมีคุณสมบัติมากกว่าบุคคลทั่วไป ซึ่งนักเขียนในงานวารสารศาสตร์ จึงพึงมีคุณลักษณะสรุปได้ดังนี้
๑. มีความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์ และจินตนาการ รวมถึงมีข้อสงสัยเพื่อนำไปสู่การแสวงหาคำตอบ มองหาข้อเท็จจริง คำอธิบาย เพื่อมาบอกอธิบายกับผู้อ่าน ต้องมีจินตนาการถึงความต้องการของผู้อ่านหรือสิ่งที่ผู้อ่านอยากรู้ อยากเข้าใจ หรือต้องการข่าวสารข้อมูลด้านต่างๆ ทั้งนี้เพราะผู้เขียนไม่สามารถเดินไปสอบถามผู้อ่านได้ว่าต้องการอยากรู้อะไร
๒. มีความรอบรู้ด้านต่างๆ เพราะความรู้เปรียบเสมือนวัตถุดิบที่เป็นจุดเริ่มต้นของการผลิตงานเขียน ดังนั้นผู้เขียนจึงต้องบริโภคข้อมูลข่าวสารในด้านต่างๆมากกว่าผู้อ่านทั่วไป เพื่อเลือกนำมาเสนอให้กับผู้อ่านได้อย่างหลากหลาย และไม่ซ้ำกับเนื้อหา หรือแง่มุมของเรื่องราวต่างๆ ที่ได้มีการนำเสนอผ่านสื่อหรือช่องทางอื่นไปแล้ว
๓. มีความสามรถในการเลือกเนื้อหาและใช้ภาษาได้อย่างหลากหลาย และถูกหลักการใช้ภาษา และเหมาะสมกับระดับความรู้ ความเข้าใจของผู้อ่าน โดยผู้เขียนพึงมีความสามารถที่จะอธิบายนำเสนอเรื่องราวต่างๆ ได้ด้วยภาษาที่ง่ายเป็นสำคัญ เพราะงานเขียนเชิงวารสารศาสตร์ มุ่งนำเสนอไปยังกลุ่มคนส่วนใหญ่ที่มีความหลากหลาย แม้งานเขียนในสิ่งพิมพ์ที่มีกลุ่มเป้าหมายเฉพาะอย่าลืมว่ากลุ่มเป้าหมายเฉพาะยังคงเป็นผู้อ่านที่หลากหลายเช่นกัน
๔. มีจรรยาบรรณในการเขียน หมายถึง มารยาทและความรับผิดชอบต่องานเขียนของตนและต่อผู้อ่าน โดยผู้เขียนต้องเขียนเรื่องโดยใช้ภาษาที่ถูกต้อง มีการตรวจทานข้อเขียนของตนอย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อนการเผยแพร่ ทั้งนี้ไม่ลืมไปว่างานเขียนไม่เหมือนกับการที่ผู้ส่งสารไปนั่งอธิบายให้ผู้รับฟังตัวต่อตัว เพราะเพียงสะกดผิดคำเดียวหรือสองคำ อาจทำให้ผู้อ่านเกิดความไม่ไว้วางใจผู้เขียน ขณะเดียวกันผู้เขียนพึงมีมารยาทในการเขียนโดยให้เกียรติกับผู้อ่านไม่ติเตียนผู้อ่าน ขณะเดียวกันหากผู้เขียนนำแนวความคิด หรือข้อมูลมากจากแหล่งใดพึงลงชื่อเจ้าของงานที่นำความรู้มาถ่ายทอด หรือนำแนวคิดมาทุกครั้ง
วัตถุประสงค์ในการเขียน
(สิริวรรณ นันทจันทูล)
๑. เขียนเพื่อเล่าเรื่อง เป็นการถ่ายทอดประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องราวเหตุการณ์ที่ผู้เขียนเคยประสบ หรือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้น ซึ่งสามารถถ่ายทอดผ่านสารดี ข่าว เป็นต้น
๒. เขียนเพื่ออธิบาย เป็นการบอกข้อรู้ หรือวิธีการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ชี้แจงเรื่องใดเรื่องหนึ่งให้เข้าใจ เช่น อธิบายความรู้เรื่องการใช้คอมพิวเตอร์ในชีวิตประจำวัน อธิบายขั้นตอนการประดิษฐ์ เป็นต้น
๓. เขียนเพื่อแสดงความคิดเห็น เป็นการเสนอความคิดเห็นในเรื่องต่างๆ เพียงอย่างเดียว หรือเป็นความคิดเห็นประกอบคำแนะนำ เช่นบทความแสดงความคิดเห็นในหนังสือพิมพ์รายวัน รายสัปดาห์ บทความวิจารณ์ฯ
๔. เขียนเพื่อโน้มน้าวใจ เป็นการเขียนชักจูงใจให้ผู้อ่านคล้อยตามความคิดเห็น ความรู้สึก และพฤติกรรม หรือปฏิบัติตามที่ผู้เขียนต้องการ เช่นเชิญชวนบริจาคทรัพย์ ชี้ชวนให้พับนกกระดาษส่งให้กำลังใจ เชิญชวนให้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมบางอย่าง
๕. เขียนเพื่อแสดงจินตนาการและความรู้สึก เป็นการถ่ายทอดความรู้สึกและจินตนาการของผู้เขียน เพื่อให้ผู้อ่านรับรู้ ตลอดจนเกิดความรู้สึกจินตนาการตามผู้เขียน งานเขียนในจุดประสงค์นี้ผู้เขียนอาจแฝงข้อคิด คติเตือนใจบางอย่างไว้ในงานเขียนเพื่อเป็นสารประโยชน์
รูปแบบงานเขียน
๑. งานเขียนประเภทข่าว (news) คือข้อเขียนเรื่องราวสถานการณ์ปัจจุบันในด้านต่างๆ ที่ประชาชนให้ความสนใจ หรือควรสนใจ มีความตรงไปตรงมา มีข้ออ้างองที่ชัดเจน เช่น มีชื่อปรากกฏว่าใครเป็นคนให้ข่าวสารดังกล่าว หรือรายงานจากสถานกรณีที่ใดเป็นต้น โดยผู้เขียนต้องไม่ใส่อารมณ์ ความรู้สึก หรือความคิดเห็นของตนเองลงไป
๒. งานเขียนประเภทบทความ (article) เป็นข้อเขียนที่ผู้เขียนมุ่งแสดงความรู้ ข้อมูลความคิดเห็นเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ผู้อ่านกำลังให้ความสนใจ ซึ่งอาจเขียนโดยนักเขียนประจำวารสาร หนังสือพิมพ์ หรือนิตยสารนั้นๆ หรือเขียนโดยนักเขียนอิสระที่ผ่านการคัดกรองจากบรรณาธิการหนังสือนั้นๆแล้ว
๓. งานเขียนประเภทบทวิเคราะห์ (analysis) เป็นการเขียนที่มุ่งแจกแจงข้อเท็จจริงต่างๆ ค้นหาสาเหตุ ผลกระทบ ของเรื่องใดเรื่องหนึ่งไม่ว่าเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องปัจจุบัน อดีต หรืออนาคตก็ตาม เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจเรื่องราว หรือเหตุการณ์ต่างๆได้อย่างแจ่มชัดมากขึ้น
๔. งานเขียนประเภทบทวิจารณ์ (criticize) งานเขียนที่เป็นการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นแล้ว หรือกำลังดำเนินอยู่ เช่น บทวิจารณ์ภาพยนต์หนังสือ ผลงานวรรณกรรม ผลงานรัฐบาล โดยผู้เขียนมุ่งแสดงความคิดเห็นทั้งทางบวกทางลบในด้านต่างๆ ที่เกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ ด้วยการเปรียบเทียบกับมาตรฐานใดมาตรฐานหนึ่ง หรือหลักการใดหลักการหนึ่ง
๕. งานเขียนประเภทสารคดี (feature) เป็นงานเขียนที่มุ่งให้สาระและความเพลิดเพลินกับผู้อ่านในลักษณะต่างๆ โดยมีข้อเท็จจริงจากผู้เขียนได้พบเจอไม่ว่าจะเป็นด้านการท่องเที่ยว วัฒนธรรม การเมือง สังคม โดยทำการรวบรวมข้อมูลมานำเสนอ และมีลักษณะของการนำเสนอแง่มุมของอารมณ์ ความรู้สึกของผู้เขียน สอดแทรกเข้าไปในข้อมูล และข้อเท็จจริงนั้น
๖. ข้อเขียนเบ็ดเตล็ด (variety) เป็นงานเขียนที่หลากหลายที่นอกเหนือจากงานเขียนที่กล่าวมาข้างต้น เช่น คอลัมน์ซุบซิบ บทสัมภาษณ์ถามตอบ บันทึกเป็นต้น
จากที่กล่าวข้างตน ผู้เขียนคือปัจจัยที่สำคัญที่สุดในงานเขียนเชิงวารสารศาสตร์ ดังนั้นผู้เขียนต้องรู้ วัตถุประสงค์ในการเขียนให้ชัดเจน และควรเลือกเรื่องที่จะเขียนให้เหมาะสม สอดคล้องกับรูปแบบงานเขียน กลุ่มผู้อ่าน ประเภทของสื่อ โดยผู้เขียนต้องเลือกเรื่องที่จะเขียนให้เหมาะสมกับเนื้อเรื่องบนช่องทางการสื่อสาสร และควรเป็นเรื่องที่ผู้เขียนมีความสนใจและคาดว่าผู้อ่านสนใจ หรือกำลังให้ความสนใจใคร่รู้ตลอดจนเป็นเรื่องที่ผู้เขียนมีความรู้จริง หรือมีข้อมูลที่ผู้เขียนสามารถเข้าถึงได้อย่างแน่ชัด ไม่นำเอาเพียงความรู้สึก หรือข่าวโคมลอยมาถ่ายทอดงานเขียน อันจะนำไปสู่การเขียนที่มีความชัดเจนและมีประสิทธิภาพในการสื่อสารผ่านงานเขียน
สรุปขั้นตอนการนำเสนอ
๑. Bias (อคติ)
๒. What to know, Need to Express (ความอยากรู้,ความอยากเล่า)
๓. ๕W๑H (ให้ยกตัวอย่างเยอะ)
๔. So what (คิดให้ได้.สรุปให้ได้)
๕. Don’t tell, please show (หลักการ อย่าใช้คำที่ไม่สื่อความหมาย “don’t tell,please show เช่น ความหรือ การ อย่าใช้เมื่อไม่จำเป็น หลักการนี้คือ ต้องยกตัวอย่างเยอะๆ เพราะคำพวกนี้ที่ขึ้นตนด้วย)
- หลักการเขียนบรรยาย มีหลักการสำคัญคือ การเขียนให้ผู้อ่านนึกภาพมาจากการอ่านคำบรรยายของผู้เขียน ดังนั้นผู้เขียนจึงบรรยายบอกรายละเอียดต่างๆทั้งที่มีลักษณะสำคัญและรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ โดยบรรยายอย่างเป็นลำดับขั้นจนทำให้ผู้อ่านวาดภาพตามสามารถเห็นได้ด้วยจินตนาการ
โดยมีหลักสำคัญในการเขียนเชิงบรรยาย คือ
๑. ผู้เขียนต้องมีเหตุผลและสมบูรณ์ในตัว ความชัดเจนหมายถึงจะต้องมีการบรรยายตามขั้นตอนและสมเหตุสมผล การเลือกใช้คำเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้ผู้อ่านเข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้ง
๒. ผู้เขียนต้องตอบคำถามแทนใจผู้อ่านให้ครบในเรื่องที่บอกเล่าว่าต้องการบอกเล่านั้น เป็นใคร อะไร ที่ไหน เมื่อไร อย่างไร ทำไหม และต้องขยายความต่อไปด้วยว่าเท่าใด
๓. การเขียนบรรยายที่มีประสิทธิภาพประกอบด้วย การใส่รายละเอียดให้เพียงพอ การเรียงลำดับเรื่องที่บรรยายอย่างเป็นลำดับขั้นเป็นธรรมชาติ และการบรรยายไม่ต้องอธิบายในสิ่งที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่เขียน
ลักษณะการบรรยาย
๑. การเขียนบรรยายบุคคล
ต้องอธิบาย บอกเพศ บอกวัย โดยประมาณ หรืออายุที่ชัดเจน อาชีพ หรือลักษณะที่บุคคลนั้นกระทำอยู่ บอกรูปร่างที่เด่นชัดของบุคคลนั้น ตลอดจนอธิบายนิสัย และอารมณ์ที่เห็นได้จากภายนอก
๒. การเขียนบรรยายสถานที่
ผู้เขียนต้องบอกลักษณะของสถานที่ว่า คืออะไร เช่น ตึก ตลอดจนบอกที่ตั้งภูมิศาสตร์ที่คนทั่วไปพอรู้จัก บอกลักษณะเด่น บอกที่ตั้ง ขนาดรูปทรง พร้อมทั้งให้รายละเอียดที่ทำให้ผู้อ่านเห็นภาพ โดยอธิบายบรรยากาศของสถานที่นั้นในช่วงเวลาที่ผู้อ่านไปเจอ ที่สำคัญผู้เขียนต้องโยงกับที่กล่าวถึงสถานที่นั้นต่อเรื่องที่จะเล่า
๓. การเขียนบรรยายสิ่งของ
สิ่งนั้นคืออะไร มีชื่อเรียกว่าอะไร บอกหน้าที่ประโยชน์ใช้สอยและบรรยายสภาพแวดล้อมที่สิ่งนั้นตั้งอยู่แห่งใด ในลักษณะใด พร้อมอธิบายลักษณะเด่นของสิ่งนั้น ผู้เขียนพึงเปรียบเทียบใกล้กับที่สิ่งที่ผู้อ่านคุ้นเคย เพื่อให้ผู้อ่านนึกภาพได้อย่างชัดเจน โดยผู้เขียนต้องเชื่อมโยงกับสิ่งที่เล่า
๔. การเขียนบรรยายคำพูด
การบรรยายด้วยคำพูดสนทนา เป็นวิธีการเล่าเรื่องที่มีประสิทธิภาพอีกลักษณะหนึ่งที่ทำให้ผู้อ่านเข้าถึงเรื่องราวต่างๆเสมือนอยู่ในเหตุการณ์นั้นได้ด้วย โดยมีหลักสำคัญคือต้องเขียนให้เป็นธรรมชาติ เขียนอย่างที่ผู้เขียนไปเจอมา เขาพูดจริง ถ้าเป็นภาษาถิ่นก็ในใส่ภาษาถิ่น
๕. การเขียนเปรียบเทียบ
เป็นการบรรยายให้ผู้อ่านสามารถนึกภาพที่ผู้เขียนต้องการบรรยายได้ง่ายขึ้น
ลักษณะคือ
๑. เปรียบเทียบถึงความละม้ายคล้ายคลึงกัน หรืออธิบายเปรียบเทียบเพื่อบอกถึงความแตกต่างซึ่งจะช่วยให้ผู้เขียนสามารถวาดภาพพจน์ให้ผู้อ่านเข้าใจ
๒. เลือกเปรียบเทียบสิ่งที่ใกล้ตัวผู้อ่านหรือผู้อ่านคุ้นเคย
๓. เปรียบเทียบสิ่งหนึ่งเป็นสิ่งหนึ่ง
วิธีการเล่าเรื่อง
มีการเล่าเรื่องเพื่อสื่อความหมายสำคัญ ๓ วิธี ได้แก่ ๑.) เขียนโดยผู้เขียนเป็นคนเล่าเรื่อง ๒.)เขียนโดยบุคคลอื่นเป็นคนเล่าเรื่อง ๓.) เขียนในมุมมองบุคคลที่สาม
๑. เขียนโดยผู้เขียนเป็นผู้เล่าเรื่อง หรือเรียกว่า เป็นวิธีเล่าเรื่องแบบที่ใช้สรรพนามบุรุษที่หนึ่ง (เช่น ผม.ฉัน.เรา) มีตัวผู้เขียนเป็นคนเดินเรื่อง
๒. การเขียนโดยบุคคลอื่นเป็นคนเล่า เป็นงานเขียนโดยให้บุคคลที่ผู้เขียนได้สนทนา พูดคุยด้วย เป็นผู้บอกเล่าเรื่องในงานเขียน มักพบในงานเขียนข่าว หรือสารคดี โดยผู้เขียนเป็นสื่อกลางถ่ายทอดข้อเท็จจริงสามารถเน้นคำพูด บอกเล่าผ่านเครื่องหมายคำพูด
๓. การเขียนเล่าเรื่องโดยใช้มุมมองของบุคคลที่สาม วิธีการเขียนลักษณะนี้ผสมผสานลักษณะสองอย่างข้างต้น เป็นการเขียนโดยเล่าเรื่องผ่านสายตา มุมมอง ของนักเขียน แต่ไม่มีใช้สรรพนามของผู้เขียนในเรื่อง ผู้เขียนเปรียบเสมือนถ่ายทอดในมุมมองของบุคคลอื่น เป็นวิธีการเขียนที่ผู้เขียนไม่ได้เขียนถึงเรื่องตน
สารคดี หมายถึง งานเขียนที่เป็นเรื่องราวเกี่ยวข้องกับข้อเท็จจริง เสนอเรื่องราวเกี่ยวกับบุคคลที่มีตัวตนจริง เหตุการณ์จริง มีเจตนาเบื้องต้นในการให้สาระ ความรู้ ความคิด ให้เกิดความเพลิดเพลินกับผู้รับสาร ทั้งนี้ต้องมีกลยุทธการเขียนโดยการหยับประเด็นหรือแก่นสำคัญของเรื่องมาเน้นย้ำการนำเสนอ
สารคดี หมายถึง เรื่องราวที่มีเนื้อหาสาระ เป็นเหตุการณ์ ที่เขียนเกี่ยวกับบุคคล หรือเหตุการณ์กับบุคคล หรือเหตุการณ์ที่เป็นจริงมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ความรู้ ความคิด และความเพลิดเพลินแก่ผู้อ่าน มีความน่าติดตาม
สารคดีกับบทความแม้มีลักษณะที่คล้ายคลึงกันมาก แต่จะต่างกันที่
สาระคดีมีความรู้เป็นแก่น มีความคิดเห็นเป็นส่วนประกอบ แต่บทความจะมีความคิดเห็นเป็นแก่น และมีความรู้เป็นองค์ประกอบ อีกทั้งสารคดีต้องใช้สำนวนโวหารที่คมคาย ลึกซึ้งชวนอ่านและให้ความสนุกสนานเพลิดเพลิน แต่บทความไม่คำนึงถึงความสนุกก็ได้
หลักการเขียนสารคดี คือความเป็นงานเขียนที่อยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริงทั้งหมด โดยประเด็นที่น่าสนใจ มีโครงเรื่องที่สามารถสร้างความเร้าใจน่าติดตามให้กับผู้อ่าน ด้วยการสร้างสรรค์ของผู้เขียน ตลอดจนมีการเลือกภาษาอรรถรสให้กับผู้อ่านได้เกิดจินตนาการ กินใจ ได้อารมณ์ ความรู้สึกในลักษณะต่างๆ ตามวัตถุประสงค์ของผู้เขียนได้.
คุณลักษณะของสารคดี
สรุปคือมี กว้าง ยาว ลึก
มิติสารคดีในด้านกว้าง คือ การเสนอเรื่องราวต่างๆอย่างรอบด้านทุกประเด็นสำคัญที่รอบตัวข้อมูลที่จะนำเสนอ
มิติสารคดีด้านยาว คือ การนำเสนอภาพที่ทำให้มองเห็นเข้าใจพัฒนาการอันยาวไกลจากอดีตสู่ปัจจุบัน จากยุคหนึ่งสู่ยุคหนึ่ง
มิติสารคดีด้านลึก คือ การนำเสนอเรื่องที่ลึกจากจิตวิญญาณของผู้คนที่มีความผูกพันอยู่กับสิ่งนั้นๆ หรือสิ่งนั้นก่อให้เกิดอารมณ์ หรือในด้านใดด้านหนึ่ง เช่นตื่นเต้น ตื่นตาตื่นใจ ปีติยินดี โศกสลด สนุกสนาน
ทั้งนี้มิติของสารคดีทั้งสามด้าน ควรถูกนำเสนออย่างเหมาะสมเพื่อปรับใช้ “หัวใจ” หรือ “แก่นกลาง” หรือประเด็นของเรื่อง (maim point) ที่ผู้เขียนบทต้องการนำเสนอ(ซึ่งควรจะต้องกำหนดไว้ตั้งแต่เริ่มก่อนที่จะลงมือเขียน)
จุดมุ่งหมายของสารคดี
๑. เพื่อให้ความรู้ อาจเป็นความรู้เฉพาะสาขาวิชา เช่น วิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ ภาษาศาสตร์ ซึ่งความรู้เฉพาะสาขาวิชาเหล่านี้เมื่อนำมาเขียนในลักษณะของสารคดีจะมีความน่าสนใจกว่า การเขียนเชิงวิชาการ การเขียนในเชิงวิชาการ เพราะการเขียนลักษณะนี้ต้องมีการเชื่อมโยงอธิบายความอย่างง่าย สามารถเขียนนำเสนอโดยการเปรียบเทียบ หรือบรรยายให้เห็นจริงอย่างง่าย ไม่เน้นภาษาวิชาการ แต่เน้นการทำให้คนทั่วไปได้เกิดความรู้ความเข้าใจโดยรวมได้
๒. เพื่อให้ข้อเท็จจริง ซึ่งอาจได้มาจากประสบการณ์ที่ผู้เขียนค้นคว้า รวบรวมมาจากประสบการณ์ของตนเอง หรือได้รับการบอกเล่าโดยมีหลักฐานที่น่าเชื่อถือ ซึ่งผู้เขียนจะนำมาเรียบเรียง หรือเล่าในรูปสารคดี เช่น สารคดีท่องเที่ยว สารคดีเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
๓. เพื่อแสดงความคิดเห็น หรือแนวคิด เป็นการให้แนวคิดที่เป็นประโยชน์ เพื่อส่งเสริมให้ผู้อ่านมีความคิดที่กว้างยิ่งขึ้น เช่น สารคดีเกี่ยวกับพัฒนาชุมชน
๔. เพื่อให้ความเพลิดเพลิน เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากที่สุด สารคดีบางเรื่องจึงเขียนให้เป็นสารคดีที่ไม่มีสาระวิชาการมากเกินไป ทั้งนี้เพื่อมุ่งสนองความต้องการของผู้อ่านเกิดความเพลิดเพลิน สนุกสนานไปกับเรื่อง ขณะเดียวกันก็ได้สาระความรุ้ ข้อเท็จจริง และความคิดเห็นด้วย เช่นสารคดีท่องเที่ยว ผู้เขียนจำนำชมสถานที่แปลกๆใหม่ๆ สวยๆ งามๆ โดยมีการพรรณนาความงามตามธรรมชาติ ด้วยถ้อยคำที่สละสลวย
ประเภทสารคดี
แบ่งตามเนื้อได้กว้างๆ ๔ ลักษณะ
๑. สารคดีวิชาการ เป็นเรื่องให้ความรู้วิชาการแขนงต่างๆเช่น วิทยาศาสตร์ ภาษา เกษตรฯลฯ
๒. สารคดีทั่วไป เป็นเรื่องให้ความรู้ทั่วๆไปเช่น การท่องเที่ยว การกีฬา งานอดิเรก ประเพณี วัฒนธรรมออกกำลังกาย ฯลฯ
๓. สารคดีชีวประวัติ เขียนเกี่ยวกับบุคคลที่มีชื่อเสียง หรือบุคคลที่มีความสามารถพิเศษผู้ที่เขียนจะต้องมีข้อมูลอย่างถูกต้อง ให้ความเป็นธรรม ปราศจากอคติลำเอียง
๔. สาระคดีแนะนำ จะมีเนื้อหาหลากหลายครอบคลุมการดำเนินชีวิตของมนุษย์ทุกแง่มุม ตั้งแต่ปัจจัยสี่ การประกอบอาชีพ พักผ่อนยอนใจ
องค์ประกอบและโครงสร้างการเขียนสารคดี
๑. คำนำ คือ การเริ่มต้นเรื่องที่จะเขียนโดยเกริ่นนำให้ผู้อ่านทราบเรื่องที่จะเขียนนั้นเกี่ยวกับเรื่องอะไร เป็นการเสนอทรรศนะอย่างกว้างๆไว้ก่อน ไม่ต้องอธิบายละเอียด และไม่ต้องเขียนยาวมากนัก มีเพียงย่อหน้าเดียว ควรมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความสนใจแก่ผู้อ่านให้ได้ทราบข้อมูล เรื่องที่น่ารู้น่าสนใจ
๒. เนื้อเรื่อง คือการ ขยายเนื้อความให้ผู้อ่านได้ทราบข้อมูล รายละเอียด โดยอาจแยกสถิติ ตัวอย่างประกอบ เพื่อความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น การเขียนอาจมีหลายย่อหน้า
๓. สรุป คือ การเขียนข้อความลงในตอนท้ายของเรื่อง ผู้เขียนต้องใช้ศิลปะในการสร้างความประทับใจแก่ผู้อ่าน อาจใช้กลวิธี เช่น สรุปโดยการใช้สำนวน คำพังเพย หรือคำคม หรือทิ้งท้ายด้วยคำถามน่าสนใจ หรือการเขียนสรุปมีย่อหน้าเดียว
ขั้นตอนการเขียนสารคดี
๑. เตรียมตัว ผู้เขียนต้องศึกษาเหตุการณ์ ติดตามเรื่องราว ศึกษาจากเอกสาร หนังสือ หรือการทดลอง เพื่อแสวงหาข้อเท็จจริง และเตรียมข้อมูล โดยต้องเลือกเรื่อง กำหนดจุดมุ่งหมาย ศึกษาแหล่งข้อมูล และเก็บรวบรวมข้อมูล ระยะเวลาเตรียมตัว เป็นระยะที่สำคัญมากต้องอ่าน ต้องสัมภาษณ์ ต้องดูของจริง เพื่อค้นหาหลักฐานประกอบสารคดี
๒. การลงมือเขียน เมื่อรวบรวมข้อมูลต่างๆได้พร้อมแล้ว ก็ลงมือเขียนโดยตั้งชื่อเรื่องโครงเรื่อง และลงมือเขียนรายละเอียดของเรื่องด้วยความตั้งใจ ใช้ภาษาที่ชัดเจน ไม่คลุมเครือ เร้าใจให้ผู้อ่านเกิดความประทับใจ และจูงใจให้ผู้อ่านสนใจติดตามต่อไประยะลงมือเขียนต้องขึ้นต้นให้น่าสนใจ อันจะเป็นการเรียกร้องความสนใจผู้อ่าน
๓. ทบทวนเรื่องที่เขียน
๔. ตรวจทาน
๕. การตั้งชื่อเรื่อง
การเขียนบทความ
๑. ความหมาย
บทความ คือความเรียงที่เขียนขึ้นโดยมีหลักฐานข้อเท็จจริง และเนื้อหานั้นผู้เขียนได้แทรกข้อเสนอแนะความคิดเห็น ข้อวิพากษ์วิจารณ์ความมีรูปแบบอย่างสร้างสรรค์ไว้ด้วย
รูปแบบบทความ มีรูปแบบการเขียนเหมือนกัน คือมีโครงเรื่องอันประกอบด้วยสามส่วนใหญ่ๆ ได้แก่ คำนำ เนื้อเรื่อง สรุป หรือคำลงท้าย
ความมุ่งหมายของบทความ บทความนั้นเขียนขึ้นเพื่อเสนอข้อคิดเห็นเกี่ยวกับ เรื่องราวหรือเหตุการณ์นั้นๆ
หัวข้อของบทความต้องทันสมัย ทันต่อเหตุการณ์ อยู่ในความสนใจของผู้อ่าน
บทความที่ดี คือ บทความที่อ่านเข้าใจง่ายและชัดเจน ที่ผู้อ่านจะได้รับสาระอย่างที่ผู้เขียนต้องการ
๒. ลักษณะของบทความ
- เป็นเรื่องที่ผู้อ่านส่วนมากกำลังสนใจในขณะนั้น
- มีแก่นสาร สาระ อ่านได้ความรู้ หรือความคิดเห็นเพิ่มเต็มไม่เลื่อนลอย
- ต้องมีข้อทรรศนะ ข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะของผู้เขียนแทรกด้วย
- มีวิธีเขียนชวนให้อ่าน อ่านแล้วท้าทายความคิดและสนุกสนานเพลิดเพลิน จากความคิดเห็นในถกเถียงนั้น
- มีเนื้อหาสาระและสำนวนภาษาเหมาะกับผู้อ่าน
๓. วัตถุประสงค์ของบทความ
หัวใจของบทความ คือ การเขียนเพื่อต้องการเผยแพร่เรื่องราวให้กลุ่มผู้อ่านหรือประชาชน ได้รับรู้ผ่านสิ่งพิมพ์ต่างๆ โดยมีวัตถุประสงค์ดังนี้
๑. เพื่ออธิบายความ ชี้แจงหรือให้ความรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่ง
๒. เพื่อบรรยายให้ผู้อ่านเห็นภาพของเหตุการณ์ สถานที่ หรือสภาพต่างๆ
๓. เพื่อโน้มน้าวใจ จูงใจ ให้ผู้อ่านคล้อยตามความคิดตน
๔. เพื่ออภิปรายเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมขณะนั้น
๕. เพื่อชี้นำให้ผู้อ่านเห็นด้วย และ ปฏิบัติตามความคิดเห็นของผู้เขียน
๔. ประเภทของบทความ
แบ่งเป็นประเภทใหญ่ๆ
๑. แบบสาระ(formal essay) คือบทความที่เน้นทางวิชาการ ผู้เขียนต้องการอธิบายความรู้อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นสำคัญ
๒. แบบปกิณกะ (informal essay) คือ บทความที่สาระกับผู้อ่านพร้อมๆกับให้ความสนุกเพลิดเพลิน
นอกจากนั้นยังแบ่งบทความตามลักษณะเนื้อเรื่องของบทความ ดังนี้
๑. บทความแสดงความคิดเห็น เป็นบทความหยิบหยกปัญหาสังคมนั้นมาเขียน โดยเป็นปัญหาส่วนรวม เช่น เศรษฐกิจ สังคม การเมือง
โดยแนวการเขียนมี ๒ แนว คือแนวยอมรับ และแนวโต้แย้ง โดยผู้เขียนเลือกแสดงความคิดเห็นด้านใดด้านหนึ่ง
วิธีการเขียน คือ แยกแยะปัญหา คืออะไร แล้วค่อย วิธีการแก้ปัญหาเป็นอย่างไร ผู้เขียนเห็นชอบ หรือไม่เห็นชอบ และให้เหตุผลที่ ชอบ หรือไม่ชอบ และสุดท้ายย้ำความคิดเห็นของตนเอง
๒. บทความประเภทสัมภาษณ์ เป็นบทความที่แสดงความคิดเห็นของบุคคลเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ ผู้เขียนบทความต้องรู้จัก ปละคัดเลือกบุคคลที่สัมภาษณ์
วิธีการเขียน คือทำได้ในรูปแบบ ถาม-ตอบ กล่าวคือ มีการแสดงคำถามและคำตอบ สามารถใช้เทคนิคอื่นๆเข้าช่วยเช่น บรรยายบรรยากาศสัมภาษณ์
๓. บทความประเภทกึ่งชีวประวัติ มีลักษณะคล้ายบทความประเภทสัมภาษณ์ต่างกันในแง่ บทความสัมภาษณ์ ต้องแสดงความคิดเห็นของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง เกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ส่วนบทความเชิงชีวประวัติ ต้องแสดงเรื่องราวกับตัวบุคคล แต่ไม่เน้นอัตชีวประวัติ เน้นที่ความสามรถพิเศษและคุณสมบัติพิเศษ เรื่องชีวประวัติเป็นเรื่องสำคัญรองมา
๔. บทความประเภทคำแนะนำ เป็นบทความที่ให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรืออธิบายวิธีการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
๕. บทความประเภทให้แง่คิด โน้มน้าวใจ คือ มุ่งให้ผู้อ่านกระตุ้นให้คิด หรือกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง
๖. บทความประเภทท่องเที่ยวเดินทาง เป็นบทความนำเสนอมุมมองทัศนะเกี่ยวกับประสบการณ์ของผู้เขียนที่ได้มีโอกาสเดินทางท่องเที่ยวชม ภูมิประเทศหรือสถานที่แปลกใหม่ๆ เป็นการเปิดหูเปิดตา
จุดมุ่งหมายของบทความสารคดีท่องเที่ยว คือ การชี้ชวน แนะนำ หรือกระตุ่นเตือนให้ผู้อื่นเกิดความรุ้สึกอยากไปพบเห็นด้วยตนเอง สถานที่แปลกใหม่ที่คนยังไม่กล้าที่จะไปเที่ยว
บทความประเภทท่องเที่ยวเช่นนี้แตกต่างจากสารคดีท่องเที่ยว คือ บทความจะบอกกล่าวอย่างตรงไปตรงมา แต่สารคดีท่องเที่ยวมักให้แง่มุมต่างๆตลอดจนอารมณ์ความรู้สึกจากบุคคลแวดล้อมในเหตุการณ์
วิธีการเขียนบทความท่องเที่ยว คือผู้เขียนควรมีประสบการณ์ด้วยตนเองมาก่อน และได้เดินทางจนถึงสถานที่นั้น ได้สังเกต จดจำสิ่งต่างๆมาเป็นอย่างดี แล้วถ่ายทอดประสบการณ์นั้นออกมาเป็นตัวหนังสือ นอกจากข้อเท็จจริงต่างๆแล้ว ข้อสังเกต เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยๆ คำเตือนใจ หรือข้อระวังในการปฏิบัติตนระหว่างเดินทางของผู้เขียนเคยประสบ หรือผิดพลาด จะช่วยให้เรื่องน่าสนใจ
นอกจากสองปะเภทใหญ่ข้างต้นยังมีบทความประเภทครบรอบปี..
วิธีการเขียนบทความ
o ก่อนเขียนบทความ ผู้เขียนต้องสืบเสาะหาความรู้เรื่องราวอันเป็นสาระมาเพื่อเป็นเนื้อหาแห่งการเขียน (ไม่ใช่แต่งขึ้น สมมุติขึ้น)
o การเขียนบทความให้ดี ผู้เขียนต้องรูจักการวางโครงเรื่อง เพราะจะทำให้ควบคุมการเขียน ให้เป็นไปตามแนวที่กำหนด อีกทั้งเป็นการป้องกันมิให้เขียนวกวน
o โครงเรื่อง คำนำ เนื้อเรื่อง สรุป
คำนำเกริ่นให้รู้ว่าจะเขียนเรื่องอะไร และต้องให้ชวนติดตาม
เนื้อเรื่องแบ่ง ๒ ตอน คือ ตอนแรกขยายตรงที่เกริ่นนำ ส่วนที่สองเป็นต้นไปเป็นรายละเอียด
บทสรุป เป็นการแสดงทัศนะข้อคิดเห็นของผู้อื่น หรือเหตุการณ์ต่อเรื่องนั้น รวมทั้งให้ข้อเสนอแนะหรือข้อสังเกตในการแก้ปัญหาด้วย
ลักษณะการเขียนบทความ
๑. ต้องไม่ลืมวัตถุประสงค์ของบทความ คือถ่ายทอดข้อมูล แง่มุมมาสู่ผู้อ่านให้ได้รวดเร็ว เข้าใจง่าย
๒. บทความที่สั้นมักได้รับความสนใจมากกว่าบทความที่ยาว
a. ลักษณะการเขียนความนำ เป็นส่วนที่ยากที่สุด การเขียนคำนำต้องประณีต เพื่อจูงใจผู้อ่าน ให้ติดตามเรื่อง
รูปแบบการเขียนคำนำ คือ
๑. การนำข่าวมากล่าวขึ้นตนเพื่อแสดงทัศนะ แง่คิด
๒. หรือข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนั้นต่อเนื่อง
๓. หรือนำเอาความคิดเห็นของผู้เขียนขึ้นเรื่องก่อนก็ได้ และนำหลักการเขียนคำนำดังกล่าวมาไว้ในข้างต้นมาปรับประยุกต์ใช้อาทิเช่น การขึ้นเรื่องด้วยคำถาม หรือสรุปใจความสำคัญของสิ่งที่ต้องการเขียนบทความถึง
b. การเขียนเนื้อเรื่อง เป็นส่วนที่ยาวที่สุด รวมรวมความคิดและข้อมูลทั้งหมด เป็นย่อหน้าและต้องมีความสัมพันธ์กลมกลืนกัน ไม่วกวน ถ้อยคำที่ใช้ถูกต้องตามพจนานุกรม
c. การเขียนบทสรุป ต้องทราบว่าต้องการบอกผู้อื่นที่เสนอมาทั้งหมดว่าอะไร เช่นสรุปแบบ ประทับใจ ฝากให้ไปคิดและทิ้งปัญหาไว้กับผู้อ่าน การเขียนสรุปลงท้ายมีหลายรูปแบบ เช่น
๑. สรุปด้วยคำถามที่ชวนให้ผู้อื่นคิดหาคำตอบ
๒. สรุปด้วยการแสดงความประสงค์ของผู้เขียน
๓. สรุปด้วยการใช้คำกล่าว คำคม บทกวี เป็นต้น
แนวทางการเขียนบทความที่มีประสิทธิภาพ
- เริ่มจากเลือกเรื่องที่จะเขียน
- บทความที่ดี คือ สามารถอธิบายบางสิ่งบางอย่างให้ประโยชน์กับผู้อ่าน
โดยแนวทางสรุปได้ดังนี้
๑. นักเขียนพึงวางแผนการเขียนของตนเสียก่อน โดยหลักง่ายคือ
a. วางเค้าโครงหัวข้อย่อยต่างๆ
b. หากผู้เขียนสามารถนึกจุดสำคัญลองเขียนลงไปก่อนในหัวข้อย่อย
c. จัดเรียงลำดับหัวข้อย่อย ความต่อเนื่องของเนื้อหา เพื่อให้ผู้เขียนลำดับความคิดและติดตามเรื่อง
๒. การเริ่มต้นการเขียนบทความที่ดี
ควรเริ่มกันตั้งแต่ชื่อบทความ
ข้อความย่อหน้าแรก และหัวข้อย่อยบทความ (ความน่าสนใจ และความ สำคัญอย่างไร และจะได้ประโยชน์อะไร
ชื่อเรื่องบทความ ต้องมีความน่าสนใจ และบอกกับผู้อ่านว่าเกี่ยวกับอะไร
๓. การเขียนไม่ควรให้ข้อความของแต่ละย่อหน้ายาวเกินไป เพราะยาวมากผู้อ่านจะล้าสายตา
a. แต่ละย่อหน้าไม่ควรเกิน ๑๕-๒๐ บรรทัด
b. ถ้าย่อหน้าไหนเนื้อหาย่อหน้าเดียวกัน ยาวเกินไปสามารถตัดทอนได้ แบ่งเป็นย่อหน้าใหม่
c. ผู้เขียนไม่ควรใช้ศัพท์เทคนิคมากเกินไป
การวางแผนการเขียน คือ การหาความคิด การแยกแยะความคิดที่หามาได้ และการเรียงลำดับความคิดนั้น การจัดเรียงที่เหมาะเจาะทำให้คนรับรู้เนื้อหาต่างกัน ต้องเลือกเสียก่อนว่าจะเขียนอะไร แนวไหน สำหรับเรื่องที่กำหนดไว้ การจัดลำดับการเขียนไม่มีเกณฑ์แน่นอน / รูดอล์ฟ เฟลซ
หลักการวางแผนงานเขียนทางวารสารศาสตร์ที่ดี คือ นักเขียนทุกคนมองและคิดหัวเรื่องที่น่าสนใจ และไม่มีผู้นำเสนอมาก่อน มากำหนดเป็นหัวเรื่องที่จะทำ แสวงหาข้อมูล ข้อเท็จจริงๆต่างๆ มานำเสนอ...
หลักการเลือกหัวเรื่องสำหรับงานเขียน
หลักการเลือกหัวเรื่องเป็นขั้นตอนที่ยากที่สุด..ในงานด้านวารสารศาสตร์ โดยต้องหาความคิดในการเขียนเรื่อง โดยมีวิธีการ ๓ ทางด้วยกัน คือ
๑. จากประสบการณ์ส่วนตัว
๒. จากประสบการณ์ผู้อื่น
๓. จากการอ่านหนังสือ (โดยจะต้องไม่เขียนซ้ำกับเรื่องที่มีมาแล้ว)
เทคนิคการคิดหัวเรื่อง
๑. การผสมหัวเรื่องเพื่อกำหนดประเด็น
- ขั้นตอนแรกผู้เขียนพึ่งคำนึงถึงคือกลุ่มเป้าหมาย ว่าเป็น ใคร? สนใจอะไร?
- รวบรวมจัดเป็นหัวข้อคร่าวๆ
- หลังจากนั้นจัดหมวกหมู่ หาความสัมพันธ์ หรือเอาหัวข้อนั้นมาโยงเข้าหากัน จะทำให้ประเด็นที่น่าสนใจมากยิ่งขึ้น
๒. การย่อยหัวเรื่องเพื่อกำหนดประเด็น
- ทำให้ผู้เขียนมีทางเลือกที่จะค้นคว้าและ
- กำหนดหัวเรื่องที่จะเขียนให้สอดคล้องกับความสนใจผู้อ่าน และ
- ประเภทของช่องทางที่จะนำเสนองานเขียน
๓. การเลือกหัวเรื่องโดยใช้หลักการเป็นข่าว
หลักการสร้างความสนใจร่วมในงานเขียน
ผู้เขียนพึงระลึกอยู่เสมอว่ากำลังผลิตงานเขียนให้ใครอ่าน อาจแยกพิจารณาตามช่องทางการเผยแพร่งานเขียนไม่ว่าจะเป็นนำเสนอหรือตีพิมพ์ เพราะช่องทางการเผยแพร่มักมีกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน เมื่อเรารู้กลุ่มเป้าหมายเราก็เริ่มวางแผนงานเขียนได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ตั้งแต่การกำหนดหัวเรื่อง การเลือกใช้ระดับภาษา และลีลาการนำเสนอ
ในขณะเดียวกันผู้เขียนเองก็ต้องมีความยากที่จะเขียน หรือ นำเสนอเรื่องนั้นให้ผู้อ่านได้รับทราบ ซึ่งเปรียบเสมือนแรงบันดาลใจ ความอยากเล่า อยากนำเสนอเรื่องราวที่เป็นประโยชน์กับผู้อ่าน อยากให้ผู้อ่านได้รับความรู้ความคิด ในแง่มุมที่แตกต่าง
โดยลักษณะดังกล่าวจะทำให้เกิดการสื่อสารที่ดี คือ ความสนใจร่วมระหว่างผู้เขียนและผู้อ่าน
หลักการรับรู้กับการคิดงานเขียน
เป็นประโยชน์กับกับคิดงานเขียนกล่าว คือ
๑. การรับรู้ผ่านความตั้งใจ คือ มองผ่านมุมมองตนเอง ผ่านมุมมองความคิดเห็นที่เหมือนกับความต้องการของคนอื่นๆ แต่เรานำเสนอในมุมมองที่แตกต่างไป เช่น คนสนใจส่วนใหญ่ โยหลักการนี้ ผู้เขียนต้องคิดหัวข้อกว้างๆก่อน ว่างานเขียนของตนเองมีเป้าหมายผู้อ่านกลุ่มใด
๒. การรับรู้ผ่านความประทับใจ
๓. ความสำคัญของสิ่งใกล้ตัว
๔. หลักความเท่าเทียมกัน
หลักการรวบรวมข้อมูลเพื่องานเขียนเชิงวารสารศาสตร์
- เริ่มค้นหาจุดมุ่งหมายงานเขียนที่แน่นอน
- แสวงหาข้อมูลประกอบการคิดและการเขียน
- วิเคราะห์ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล / ความน่าเชื่อถือของข้อมูล
o ข้อมูลอาจหามาได้ ๓ ประเภท กล่าวคือ
ข้อมูลจดบันทึกไว้ที่ต่างๆ
ข้อมูลได้จากการจดจำของผู้เขียน
ข้อมูลที่ได้จากวิเคราะห์ของผู้อื่น
การวางแผนการเขียน
1. หาเรื่อง โดยการ สร้างอคติ bias
2. หาข้อมูล โดย การสังเกต การสัมภาษณ์/พูดคุย ค้นคว้าจาก เอกสาร อินเตอร์เน็ต ฯลฯ
3. วางประเด็น(ประมวลหาประเด็นองค์ประกอบน่าสนใจ) เหมือนองค์ประกอบของข่าว
a. ความใกล้ชิด
b. ความเด่น
c. ความแปลกประหลาด (สังเกตข่าวช่วยหวยออกมี agenda setting)
d. ผลกระทบกระเทือน(เชิงกายภาพและกระทบต่อคนส่วนใหญ่)
e. ความขัดแย้ง
f. ความมีเงื่อนงำ
g. ปุถุชนสนใจ
h. เพศ
i. ความขับขัน
j. ความเปลี่ยนแปลง
หลักการวางโครงเรื่องในงานเขียน
การวางโครงเรื่อง คือ การจัดระเบียบความคิดในการเขียนให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันและอยู่ในกรอบที่กำหนดไว้ เมื่อผู้เขียนเลือกเรื่องที่จะเขียน และจำกัดขอบข่ายเรื่องได้อย่างชัดเจนแล้ว ขั้นตอนจ่อไปต้องเตรียมแนวเรื่องหรือโครงเรื่องเป็นประเด็น จากประเด็นหลัก ไปสู่ประเด็นย่อย โดยประเด็นย่อยต้องสนับสนุนหรืออยู่ในขอบข่ายประเด็นหลักเสมอ...
ประเด็นหลักของเรื่อง คือ ส่วนที่สำคัญที่เป็นตัวบอกโครงเรื่อง และเนื้อหาหลักที่ต้องการนำเสนอ กฎพื้นฐานการเขียนเรื่องก็คือ ความเป็นเอกภาพ งานเขียนที่ดีควรเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับประเด็นใดประเด็นหนึ่งเพียงชนิดเดียว ซึ่งควรบอกผู้อ่านเนิ่นๆ ในการเริ่มต้นงานเขียน เพราะทำให้ผู้อ่านเริ่มจินตนาการไปกับข้อเขียนได้อย่างถูกต้องตามเนื้อหาและวัตถุประสงค์ที่ผู้เขียนต้องการส่งถึงผู้อ่าน (วิบูลย์ )
โครงเรื่องงานเขียนทั่วไป
การเขียนคำนำ (introduction)
การเขียนคำนำ คือ การเขียนเพื่อเปิดประเด็นบอกกล่าวกับผู้อ่านว่ากำลังนำเสนอเนื้อหาใด และเรื่องนั้นมีความน่าสนใจ หรือมีความสำคัญอย่างไร
การเกริ่นนำเพื่อเชื่อมโยงเข้าสู่ประเด็นหลักของเรื่อง โดยบทนำต้องมีความน่าสนใจเพื่อดึงดูดผู้อ่านให้สนใจเรื่องต่อไป
การเขียนประเด็นหลัก (main idea)
การเขียนประเด็นหลัก คือการเขียนเพื่อนำเสนอประเด็นสำคัญ หรือแนวคิดหลักของเรื่องที่ผู้เขียนต้องการส่งไปยังผู้อ่าน โดยมีประโยตสำคัญหลักชัดเจนที่แสดงให้เห็นว่า ผู้เขียนต้องการบอกอะไรกับผู้อ่าน ผู้เขียนต้องการส่งสารอะไรให้กับผู้อ่านได้รับรู้ ซึ่งไม่หนีไปจากหัวเรื่องที่กล่าวไว้ในข้างต้น โดยผู้เขียนมักนำเสนอต่อเนื่องจากบทนำเป็นสำคัญ
การเขียนบทสรุป (conclusion)
การเขียนบทสรุป คือการเขียนส่วนจบเรื่องเพื่อ กระชับ ย้ำประเด็นให้ผู้อ่านเข้าใจ หรือได้ครุ่นคิดในประเด็นของเรื่อง หรือควรเป็นส่วนทิ้งท้ายให้ผู้อ่านพอใจ เกิดการยอมรับ และเห็นคล้อยตาม หรือเข้าใจอย่างลึกซึ้ง การเขียนบทสรุปนั้นถือว่าเป็นการเขียนเชื่อมโยงเข้าสู่จุดจบของเรื่อง เพื่อให้ผู้อ่านเกิดความเข้าใจในเรื่องที่นำเสนอมาทั้งหมด โดยการเขียนสรุปต้องสอดคล้องกับบทนำ และประแด็นหลักของเรื่องให้ข้อคิดหรือเสนอแนะทางออก
โดยการอธิบายความ บรรยายเรื่องราว แสดงคำกล่าว หรือยกตัวอย่างประกอบยืนยัน
๑. บรรยายบรรยากาศห้องสอบในนิตยสารใต้ฟ้าราม
๒. การเขียนสารคดี สารคดีท่องเที่ยว กับบทความท่องเที่ยว เช่น นครนายก แต่อาจารย์จะเปลี่ยนข้อมูล จะเขียนอย่างไร ตั้งข้อมูล หาประเด็นอย่างไร บทความท่องเที่ยวกับสารคดีท่องเที่ยวต่างกันอย่างไร ?
วางประเด็นดังนี้
- สารคดี คืออะไร สารคดีท่องเที่ยวมีจุดมุ่งหมายอะไร
- บทความท่องเที่ยว มีวัตถุประสงค์อย่างไร หัวใจอยู่ตรงไหน ? โดยเราต้องย้อนกลับไปดูวัตถุประสงค์การเขียนบทความ คืออะไร ? เช่น อธิบายให้กระจ่าง ชี้นำให้คิดตาม ทำตาม
- บทความท่องเที่ยว กับสารคดีท่องเที่ยว
- บทความมีหลายประเภท บทความเชิงสาระ เช่น งานวิชาการต่าง อะไร คืออะไร เป็นอย่างไร บทความ เชิงปกินกะ ก็หมายถึงรายการวาไรตี้นั้นเอง เบ็ดตาเล็ต สัพเพเหระ เขียนอะไรก็ได้ที่อยากจะเขียน พวกคอลัมน์นีต ต่างๆ ไปเจออะไรมาก็เก็บมาเล่า เช่น ไปเจอร้านน้ำชา ร้านเหล้ายาดอง โดยต่างจากบทความเชิงสาระคือบทความปกินกะเน้นความเพลิดเพลิน เหล่าไปเรื่อยเหมือนสภากาแฟ เช่น บทความกาละแมร์ในมติชน บทความประเภทสัมภาษณ์ ไม่ใช่ QA อย่างเดียว มีรูปแบบการสัมภาษณ์ประกอบในบทความ โดยมีการเกริ่นเรื่อง นำเรื่อง มีประเด็น เข้าสู่เรื่อง และปิดท้าย โดยจะมีการถ่ายถอดคำพูดลงไปในบทความ บทความกึ่งชีวประวัติ ต่างจากบทความชีวประวัติอย่างไร คือ ชีวประวัติเป็นการเล่าเชิงประวัติสาสตร์ เล่าประวัติของตัวเอง ตั้งแต่เกิดเป็นต้นมา กึ่งชีวประวัติก็คือเป็นการเล่าชีวประวัติของตัวเองหรือผู้ใดผู้หนึ่ง บวกกับความคิดเห็นของผู้เขียน เช่นจะเล่าบทความกึ่งชีวประวัติ เช่น สืบนาคะเสถียร คือเล่าประวัติและสลับกับแง่คิดของผู้เขียน เช่น ถึงแม้สืบฯจะตายแต่กระแสอนุรักษ์ยังอยู่ ฯลฯ ข้อสรุปเล่าชีวิตคนนั้น บวกข้อสรุป บวกด้วยทัศนะ บวกข้อคิดจากผู้เขียน บวกฉากตอนต่างๆ ที่เกิดขึ้น บทความพวก How to เช่น แนะนำ คำกลอน บทความให้แง่คิด โน้มน้าวใจ บทความท่องเที่ยว คืออะไร โครงสร้างบทความ?
คำถาม ถ้าให้คุณเขียนบทความสารดีท่องเที่ยวนครนายก กับ บทความท่องเที่ยวนครนายก จะมีวิธี หลักการรวบรวมข้อมูล วางโครงเรื่อง และเขียนอย่างไร จงเขียนเปรียบเทียบกันให้เห็นจริง? เข้าใจ คือ เข้าถึงหัวใจ ๒ ข้อของการเขียนคุณก็จะเข้าใจความแตกต่างคุณก็จะเขียนอธิบายได้? ข้อสังเกต ต้องตั้งหลักการวางหลักการให้ดี แล้วจะเห็นความต่าง และสรุปได้
๓. อะไรคือหัวใจของงานเขียนทางวารสารศาสตร์ในทัศนะของคุณ
จงอภิปราย(ความต่างระหว่างอภิปรายและอธิบาย / อภิปรายคือ ตอบอะไรก็ได้แต่ขอให้มีเหตุมีผลและหลักการ มีหลักฐาน มีข้อมูล มีตัวอย่างมายืนยัน สนับสนุน โดยเราต้องอภิปราย เช่น เมื่อได้อ่านหนังสือไป อ่านเรื่องนี้ไป / ส่วนอธิบาย คือมีถูกมีผิดชัดเจน)
ความนำ แก่นเรื่อง สรุป (บทความต้องคมๆหน่อย) บทความต้องไม่ยาวไม่เกินสองหน้าการวางแผนการเขียนบทความ ถ้าเกิดต้องเขียนบทความท่องเที่ยว ต้องหาแง่มุม หาเรื่องที่คนส่วนมากไม่ค่อยเขียน เช่น บทความท่องเที่ยวนครนายกคุณจะเอาแง่มุมอะไร ? ตัวอย่างโฆษณาท่องเที่ยว ของ ททท.
๔. การเขียนบทนำ บทสรุป ถามความจำ วิธีการเขียน วิธีการคิดหัว บทสรุปเช่น แง่คิด ตอกย้ำ ทิ้งคำถาม
๕. สารคดี (อันก่อนให้เปรียบเทียบ) ถ้าหากคุณได้รับมอบหมายให้ทำสารคดีเรื่องวิกฤติ.................คุณจะมีวิถี การหาหัวข้อ ตั้งหัวเรื่อง รวบรวมข้อมูล และนำเสนออย่างไร เช่น วิกฤติรามคำแหง เช่น หลักการคิดหัวข้อ ย่อยหัวข้อ วิกฤตคืออะไร เช่น วิกฤติราคำแหง ยุคประชานิยม ยุคไอที เช่นเด็ก ป.๑ ใช้ไอแพด รามคำแหงตามทันไหม
ขอให้ทุกคนโชคดีครับ..สรุปโดยอาณาจักรโกวิทย์
๒๖ กันยายน ๕๔
บรรยากาศกลางวันเป็นวิชาการ ณ ห้องสมุดชั้นหนึ่ง และกลางคืนอันเงียบสงบใช้หัวใจแทนสมองครุ่นคิด..
อาจารย์สุระชัย ชูผกา
เรียบเรียงโดย อาณาจักร โกวิทย์
ความหมายของ การเขียน คือ การแสดงความรู้ ความคิด ความรู้สึก และความต้องการ ของผู้ส่งสารออกไปเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อให้ผู้รับสารเข้าใจ ได้รับทราบความรู้ ความคิด ความรู้สึก และความต้องการเหล่านั้น การถ่ายทอดโดยใช้ภาษาถ้อยคำเขียนเพื่อสื่อความหมาย
การเขียนควรมีการใช้ถอยคำสำนวนที่เป็นการเฉพาะกับกลุ่มเป้าหมายผู้อ่าน แต่อย่างไรก็ตามไม่ว่าผู้อ่านกลุ่มใด การเขียนต้องเขียนให้แจ่มแจ้ง เพราะผู้อ่านไม่สามารถไต่ถามผู้เขียนได้ว่าไม่เข้าใจ ผู้เขียนให้ได้ดี ต้องใช้ถ้อยคำให้เหมาะสมกับผู้รับสารโดยพิจารณาว่าผู้รับสารสามารถรับสารที่ส่งมาได้มากน้อยเพียงใด
ดังนั้น หลักการเขียน หมายถึง การถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดและความต้องการของบุคคลออกมาเป็นสัญลักษณ์ คือ ตัวอักษร เพื่อสื่อความหมายให้ผู้อื่นเข้าใจจากข้อความข้างต้น คือมองให้เห็นภาพของการเขียนว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการสื่อสารในชีวิตประจำวัน เช่น บันทึกนักเรียน บันทึกประจำวันฯลฯ
ความหมายของ วารสารศาสตร์(Journalism) หมายถึงวิชาที่ว่าด้วยการพิมพ์ที่เผยแพร่เนื้อหา ข่าวสารต่อสาธารณะ ที่มีรูปแบบการดำเนินการโดยมีกองบรรณาธิการ มีผู้เขียนคอลัมน์ที่เชียวชาญในเรื่องราวต่างๆ อย่างกว้างขว้าง เน้อหาจึงมักมีความหลากหลาย เป็นวิชาที่ว่าด้วยสิ่งพิมพ์ ทั้ง หนังสือพิมพ์ นิตยสาร วารสาร ที่มีการตีพิมพ์ลงบนแผ่นกระดาษ หรือวัสดุต่างๆ รวมถึงพิมพ์ลงบนเว็บไซต์ ในการสื่ออินเตอร์เน็ตอีกด้วย ที่มีการออกตามวาระต่างๆ
สรุป การเขียนเชิงวารสารศาสตร์ จึงหมายถึงการเขียนเพื่อให้ข้อมูลข่าวสาร แสดงความคิดเห็น ให้ความบันเทิง หรือเพื่อสื่อสารในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ทางใดทางหนึ่ง ผ่านการสื่อสารประเภทต่างๆ ที่มีวาระการเผยแพร่ โดยการเขียนเชิงวารสารศาสตร์ มุ่งเน้นนำเสนอเรื่องราวต่างๆที่อยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริง (non fiction) ไม่ใช่เขียนเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
งานเขียนเชิงวารสารศาสตร์ นอกจากผู้เขียนต้องนำเสนอข้อเท็จจริงแต่เพียงอย่างเดียวแล้ว ผู้เขียนในงานเชิงวารสารศาสตร์อาจมีการนำเอาอารมณ์ ความรู้สึก ความคิดเห็นของตนเอง ผสมผสานไปกับข้อเท็จจริงได้ เช่น งานเขียนประเภทสารคดี บทความแสดงความคิดเห็น แต่ทั้งหมดข้อเขียนเหล่านี้ต้องอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงเป็นสำคัญ
คุณลักษณะนักเขียน
ผู้เขียนพึงมีคุณสมบัติมากกว่าบุคคลทั่วไป ซึ่งนักเขียนในงานวารสารศาสตร์ จึงพึงมีคุณลักษณะสรุปได้ดังนี้
๑. มีความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์ และจินตนาการ รวมถึงมีข้อสงสัยเพื่อนำไปสู่การแสวงหาคำตอบ มองหาข้อเท็จจริง คำอธิบาย เพื่อมาบอกอธิบายกับผู้อ่าน ต้องมีจินตนาการถึงความต้องการของผู้อ่านหรือสิ่งที่ผู้อ่านอยากรู้ อยากเข้าใจ หรือต้องการข่าวสารข้อมูลด้านต่างๆ ทั้งนี้เพราะผู้เขียนไม่สามารถเดินไปสอบถามผู้อ่านได้ว่าต้องการอยากรู้อะไร
๒. มีความรอบรู้ด้านต่างๆ เพราะความรู้เปรียบเสมือนวัตถุดิบที่เป็นจุดเริ่มต้นของการผลิตงานเขียน ดังนั้นผู้เขียนจึงต้องบริโภคข้อมูลข่าวสารในด้านต่างๆมากกว่าผู้อ่านทั่วไป เพื่อเลือกนำมาเสนอให้กับผู้อ่านได้อย่างหลากหลาย และไม่ซ้ำกับเนื้อหา หรือแง่มุมของเรื่องราวต่างๆ ที่ได้มีการนำเสนอผ่านสื่อหรือช่องทางอื่นไปแล้ว
๓. มีความสามรถในการเลือกเนื้อหาและใช้ภาษาได้อย่างหลากหลาย และถูกหลักการใช้ภาษา และเหมาะสมกับระดับความรู้ ความเข้าใจของผู้อ่าน โดยผู้เขียนพึงมีความสามารถที่จะอธิบายนำเสนอเรื่องราวต่างๆ ได้ด้วยภาษาที่ง่ายเป็นสำคัญ เพราะงานเขียนเชิงวารสารศาสตร์ มุ่งนำเสนอไปยังกลุ่มคนส่วนใหญ่ที่มีความหลากหลาย แม้งานเขียนในสิ่งพิมพ์ที่มีกลุ่มเป้าหมายเฉพาะอย่าลืมว่ากลุ่มเป้าหมายเฉพาะยังคงเป็นผู้อ่านที่หลากหลายเช่นกัน
๔. มีจรรยาบรรณในการเขียน หมายถึง มารยาทและความรับผิดชอบต่องานเขียนของตนและต่อผู้อ่าน โดยผู้เขียนต้องเขียนเรื่องโดยใช้ภาษาที่ถูกต้อง มีการตรวจทานข้อเขียนของตนอย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อนการเผยแพร่ ทั้งนี้ไม่ลืมไปว่างานเขียนไม่เหมือนกับการที่ผู้ส่งสารไปนั่งอธิบายให้ผู้รับฟังตัวต่อตัว เพราะเพียงสะกดผิดคำเดียวหรือสองคำ อาจทำให้ผู้อ่านเกิดความไม่ไว้วางใจผู้เขียน ขณะเดียวกันผู้เขียนพึงมีมารยาทในการเขียนโดยให้เกียรติกับผู้อ่านไม่ติเตียนผู้อ่าน ขณะเดียวกันหากผู้เขียนนำแนวความคิด หรือข้อมูลมากจากแหล่งใดพึงลงชื่อเจ้าของงานที่นำความรู้มาถ่ายทอด หรือนำแนวคิดมาทุกครั้ง
วัตถุประสงค์ในการเขียน
(สิริวรรณ นันทจันทูล)
๑. เขียนเพื่อเล่าเรื่อง เป็นการถ่ายทอดประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องราวเหตุการณ์ที่ผู้เขียนเคยประสบ หรือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้น ซึ่งสามารถถ่ายทอดผ่านสารดี ข่าว เป็นต้น
๒. เขียนเพื่ออธิบาย เป็นการบอกข้อรู้ หรือวิธีการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ชี้แจงเรื่องใดเรื่องหนึ่งให้เข้าใจ เช่น อธิบายความรู้เรื่องการใช้คอมพิวเตอร์ในชีวิตประจำวัน อธิบายขั้นตอนการประดิษฐ์ เป็นต้น
๓. เขียนเพื่อแสดงความคิดเห็น เป็นการเสนอความคิดเห็นในเรื่องต่างๆ เพียงอย่างเดียว หรือเป็นความคิดเห็นประกอบคำแนะนำ เช่นบทความแสดงความคิดเห็นในหนังสือพิมพ์รายวัน รายสัปดาห์ บทความวิจารณ์ฯ
๔. เขียนเพื่อโน้มน้าวใจ เป็นการเขียนชักจูงใจให้ผู้อ่านคล้อยตามความคิดเห็น ความรู้สึก และพฤติกรรม หรือปฏิบัติตามที่ผู้เขียนต้องการ เช่นเชิญชวนบริจาคทรัพย์ ชี้ชวนให้พับนกกระดาษส่งให้กำลังใจ เชิญชวนให้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมบางอย่าง
๕. เขียนเพื่อแสดงจินตนาการและความรู้สึก เป็นการถ่ายทอดความรู้สึกและจินตนาการของผู้เขียน เพื่อให้ผู้อ่านรับรู้ ตลอดจนเกิดความรู้สึกจินตนาการตามผู้เขียน งานเขียนในจุดประสงค์นี้ผู้เขียนอาจแฝงข้อคิด คติเตือนใจบางอย่างไว้ในงานเขียนเพื่อเป็นสารประโยชน์
รูปแบบงานเขียน
๑. งานเขียนประเภทข่าว (news) คือข้อเขียนเรื่องราวสถานการณ์ปัจจุบันในด้านต่างๆ ที่ประชาชนให้ความสนใจ หรือควรสนใจ มีความตรงไปตรงมา มีข้ออ้างองที่ชัดเจน เช่น มีชื่อปรากกฏว่าใครเป็นคนให้ข่าวสารดังกล่าว หรือรายงานจากสถานกรณีที่ใดเป็นต้น โดยผู้เขียนต้องไม่ใส่อารมณ์ ความรู้สึก หรือความคิดเห็นของตนเองลงไป
๒. งานเขียนประเภทบทความ (article) เป็นข้อเขียนที่ผู้เขียนมุ่งแสดงความรู้ ข้อมูลความคิดเห็นเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ผู้อ่านกำลังให้ความสนใจ ซึ่งอาจเขียนโดยนักเขียนประจำวารสาร หนังสือพิมพ์ หรือนิตยสารนั้นๆ หรือเขียนโดยนักเขียนอิสระที่ผ่านการคัดกรองจากบรรณาธิการหนังสือนั้นๆแล้ว
๓. งานเขียนประเภทบทวิเคราะห์ (analysis) เป็นการเขียนที่มุ่งแจกแจงข้อเท็จจริงต่างๆ ค้นหาสาเหตุ ผลกระทบ ของเรื่องใดเรื่องหนึ่งไม่ว่าเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องปัจจุบัน อดีต หรืออนาคตก็ตาม เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจเรื่องราว หรือเหตุการณ์ต่างๆได้อย่างแจ่มชัดมากขึ้น
๔. งานเขียนประเภทบทวิจารณ์ (criticize) งานเขียนที่เป็นการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นแล้ว หรือกำลังดำเนินอยู่ เช่น บทวิจารณ์ภาพยนต์หนังสือ ผลงานวรรณกรรม ผลงานรัฐบาล โดยผู้เขียนมุ่งแสดงความคิดเห็นทั้งทางบวกทางลบในด้านต่างๆ ที่เกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ ด้วยการเปรียบเทียบกับมาตรฐานใดมาตรฐานหนึ่ง หรือหลักการใดหลักการหนึ่ง
๕. งานเขียนประเภทสารคดี (feature) เป็นงานเขียนที่มุ่งให้สาระและความเพลิดเพลินกับผู้อ่านในลักษณะต่างๆ โดยมีข้อเท็จจริงจากผู้เขียนได้พบเจอไม่ว่าจะเป็นด้านการท่องเที่ยว วัฒนธรรม การเมือง สังคม โดยทำการรวบรวมข้อมูลมานำเสนอ และมีลักษณะของการนำเสนอแง่มุมของอารมณ์ ความรู้สึกของผู้เขียน สอดแทรกเข้าไปในข้อมูล และข้อเท็จจริงนั้น
๖. ข้อเขียนเบ็ดเตล็ด (variety) เป็นงานเขียนที่หลากหลายที่นอกเหนือจากงานเขียนที่กล่าวมาข้างต้น เช่น คอลัมน์ซุบซิบ บทสัมภาษณ์ถามตอบ บันทึกเป็นต้น
จากที่กล่าวข้างตน ผู้เขียนคือปัจจัยที่สำคัญที่สุดในงานเขียนเชิงวารสารศาสตร์ ดังนั้นผู้เขียนต้องรู้ วัตถุประสงค์ในการเขียนให้ชัดเจน และควรเลือกเรื่องที่จะเขียนให้เหมาะสม สอดคล้องกับรูปแบบงานเขียน กลุ่มผู้อ่าน ประเภทของสื่อ โดยผู้เขียนต้องเลือกเรื่องที่จะเขียนให้เหมาะสมกับเนื้อเรื่องบนช่องทางการสื่อสาสร และควรเป็นเรื่องที่ผู้เขียนมีความสนใจและคาดว่าผู้อ่านสนใจ หรือกำลังให้ความสนใจใคร่รู้ตลอดจนเป็นเรื่องที่ผู้เขียนมีความรู้จริง หรือมีข้อมูลที่ผู้เขียนสามารถเข้าถึงได้อย่างแน่ชัด ไม่นำเอาเพียงความรู้สึก หรือข่าวโคมลอยมาถ่ายทอดงานเขียน อันจะนำไปสู่การเขียนที่มีความชัดเจนและมีประสิทธิภาพในการสื่อสารผ่านงานเขียน
สรุปขั้นตอนการนำเสนอ
๑. Bias (อคติ)
๒. What to know, Need to Express (ความอยากรู้,ความอยากเล่า)
๓. ๕W๑H (ให้ยกตัวอย่างเยอะ)
๔. So what (คิดให้ได้.สรุปให้ได้)
๕. Don’t tell, please show (หลักการ อย่าใช้คำที่ไม่สื่อความหมาย “don’t tell,please show เช่น ความหรือ การ อย่าใช้เมื่อไม่จำเป็น หลักการนี้คือ ต้องยกตัวอย่างเยอะๆ เพราะคำพวกนี้ที่ขึ้นตนด้วย)
- หลักการเขียนบรรยาย มีหลักการสำคัญคือ การเขียนให้ผู้อ่านนึกภาพมาจากการอ่านคำบรรยายของผู้เขียน ดังนั้นผู้เขียนจึงบรรยายบอกรายละเอียดต่างๆทั้งที่มีลักษณะสำคัญและรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ โดยบรรยายอย่างเป็นลำดับขั้นจนทำให้ผู้อ่านวาดภาพตามสามารถเห็นได้ด้วยจินตนาการ
โดยมีหลักสำคัญในการเขียนเชิงบรรยาย คือ
๑. ผู้เขียนต้องมีเหตุผลและสมบูรณ์ในตัว ความชัดเจนหมายถึงจะต้องมีการบรรยายตามขั้นตอนและสมเหตุสมผล การเลือกใช้คำเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้ผู้อ่านเข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้ง
๒. ผู้เขียนต้องตอบคำถามแทนใจผู้อ่านให้ครบในเรื่องที่บอกเล่าว่าต้องการบอกเล่านั้น เป็นใคร อะไร ที่ไหน เมื่อไร อย่างไร ทำไหม และต้องขยายความต่อไปด้วยว่าเท่าใด
๓. การเขียนบรรยายที่มีประสิทธิภาพประกอบด้วย การใส่รายละเอียดให้เพียงพอ การเรียงลำดับเรื่องที่บรรยายอย่างเป็นลำดับขั้นเป็นธรรมชาติ และการบรรยายไม่ต้องอธิบายในสิ่งที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่เขียน
ลักษณะการบรรยาย
๑. การเขียนบรรยายบุคคล
ต้องอธิบาย บอกเพศ บอกวัย โดยประมาณ หรืออายุที่ชัดเจน อาชีพ หรือลักษณะที่บุคคลนั้นกระทำอยู่ บอกรูปร่างที่เด่นชัดของบุคคลนั้น ตลอดจนอธิบายนิสัย และอารมณ์ที่เห็นได้จากภายนอก
๒. การเขียนบรรยายสถานที่
ผู้เขียนต้องบอกลักษณะของสถานที่ว่า คืออะไร เช่น ตึก ตลอดจนบอกที่ตั้งภูมิศาสตร์ที่คนทั่วไปพอรู้จัก บอกลักษณะเด่น บอกที่ตั้ง ขนาดรูปทรง พร้อมทั้งให้รายละเอียดที่ทำให้ผู้อ่านเห็นภาพ โดยอธิบายบรรยากาศของสถานที่นั้นในช่วงเวลาที่ผู้อ่านไปเจอ ที่สำคัญผู้เขียนต้องโยงกับที่กล่าวถึงสถานที่นั้นต่อเรื่องที่จะเล่า
๓. การเขียนบรรยายสิ่งของ
สิ่งนั้นคืออะไร มีชื่อเรียกว่าอะไร บอกหน้าที่ประโยชน์ใช้สอยและบรรยายสภาพแวดล้อมที่สิ่งนั้นตั้งอยู่แห่งใด ในลักษณะใด พร้อมอธิบายลักษณะเด่นของสิ่งนั้น ผู้เขียนพึงเปรียบเทียบใกล้กับที่สิ่งที่ผู้อ่านคุ้นเคย เพื่อให้ผู้อ่านนึกภาพได้อย่างชัดเจน โดยผู้เขียนต้องเชื่อมโยงกับสิ่งที่เล่า
๔. การเขียนบรรยายคำพูด
การบรรยายด้วยคำพูดสนทนา เป็นวิธีการเล่าเรื่องที่มีประสิทธิภาพอีกลักษณะหนึ่งที่ทำให้ผู้อ่านเข้าถึงเรื่องราวต่างๆเสมือนอยู่ในเหตุการณ์นั้นได้ด้วย โดยมีหลักสำคัญคือต้องเขียนให้เป็นธรรมชาติ เขียนอย่างที่ผู้เขียนไปเจอมา เขาพูดจริง ถ้าเป็นภาษาถิ่นก็ในใส่ภาษาถิ่น
๕. การเขียนเปรียบเทียบ
เป็นการบรรยายให้ผู้อ่านสามารถนึกภาพที่ผู้เขียนต้องการบรรยายได้ง่ายขึ้น
ลักษณะคือ
๑. เปรียบเทียบถึงความละม้ายคล้ายคลึงกัน หรืออธิบายเปรียบเทียบเพื่อบอกถึงความแตกต่างซึ่งจะช่วยให้ผู้เขียนสามารถวาดภาพพจน์ให้ผู้อ่านเข้าใจ
๒. เลือกเปรียบเทียบสิ่งที่ใกล้ตัวผู้อ่านหรือผู้อ่านคุ้นเคย
๓. เปรียบเทียบสิ่งหนึ่งเป็นสิ่งหนึ่ง
วิธีการเล่าเรื่อง
มีการเล่าเรื่องเพื่อสื่อความหมายสำคัญ ๓ วิธี ได้แก่ ๑.) เขียนโดยผู้เขียนเป็นคนเล่าเรื่อง ๒.)เขียนโดยบุคคลอื่นเป็นคนเล่าเรื่อง ๓.) เขียนในมุมมองบุคคลที่สาม
๑. เขียนโดยผู้เขียนเป็นผู้เล่าเรื่อง หรือเรียกว่า เป็นวิธีเล่าเรื่องแบบที่ใช้สรรพนามบุรุษที่หนึ่ง (เช่น ผม.ฉัน.เรา) มีตัวผู้เขียนเป็นคนเดินเรื่อง
๒. การเขียนโดยบุคคลอื่นเป็นคนเล่า เป็นงานเขียนโดยให้บุคคลที่ผู้เขียนได้สนทนา พูดคุยด้วย เป็นผู้บอกเล่าเรื่องในงานเขียน มักพบในงานเขียนข่าว หรือสารคดี โดยผู้เขียนเป็นสื่อกลางถ่ายทอดข้อเท็จจริงสามารถเน้นคำพูด บอกเล่าผ่านเครื่องหมายคำพูด
๓. การเขียนเล่าเรื่องโดยใช้มุมมองของบุคคลที่สาม วิธีการเขียนลักษณะนี้ผสมผสานลักษณะสองอย่างข้างต้น เป็นการเขียนโดยเล่าเรื่องผ่านสายตา มุมมอง ของนักเขียน แต่ไม่มีใช้สรรพนามของผู้เขียนในเรื่อง ผู้เขียนเปรียบเสมือนถ่ายทอดในมุมมองของบุคคลอื่น เป็นวิธีการเขียนที่ผู้เขียนไม่ได้เขียนถึงเรื่องตน
สารคดี หมายถึง งานเขียนที่เป็นเรื่องราวเกี่ยวข้องกับข้อเท็จจริง เสนอเรื่องราวเกี่ยวกับบุคคลที่มีตัวตนจริง เหตุการณ์จริง มีเจตนาเบื้องต้นในการให้สาระ ความรู้ ความคิด ให้เกิดความเพลิดเพลินกับผู้รับสาร ทั้งนี้ต้องมีกลยุทธการเขียนโดยการหยับประเด็นหรือแก่นสำคัญของเรื่องมาเน้นย้ำการนำเสนอ
สารคดี หมายถึง เรื่องราวที่มีเนื้อหาสาระ เป็นเหตุการณ์ ที่เขียนเกี่ยวกับบุคคล หรือเหตุการณ์กับบุคคล หรือเหตุการณ์ที่เป็นจริงมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ความรู้ ความคิด และความเพลิดเพลินแก่ผู้อ่าน มีความน่าติดตาม
สารคดีกับบทความแม้มีลักษณะที่คล้ายคลึงกันมาก แต่จะต่างกันที่
สาระคดีมีความรู้เป็นแก่น มีความคิดเห็นเป็นส่วนประกอบ แต่บทความจะมีความคิดเห็นเป็นแก่น และมีความรู้เป็นองค์ประกอบ อีกทั้งสารคดีต้องใช้สำนวนโวหารที่คมคาย ลึกซึ้งชวนอ่านและให้ความสนุกสนานเพลิดเพลิน แต่บทความไม่คำนึงถึงความสนุกก็ได้
หลักการเขียนสารคดี คือความเป็นงานเขียนที่อยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริงทั้งหมด โดยประเด็นที่น่าสนใจ มีโครงเรื่องที่สามารถสร้างความเร้าใจน่าติดตามให้กับผู้อ่าน ด้วยการสร้างสรรค์ของผู้เขียน ตลอดจนมีการเลือกภาษาอรรถรสให้กับผู้อ่านได้เกิดจินตนาการ กินใจ ได้อารมณ์ ความรู้สึกในลักษณะต่างๆ ตามวัตถุประสงค์ของผู้เขียนได้.
คุณลักษณะของสารคดี
สรุปคือมี กว้าง ยาว ลึก
มิติสารคดีในด้านกว้าง คือ การเสนอเรื่องราวต่างๆอย่างรอบด้านทุกประเด็นสำคัญที่รอบตัวข้อมูลที่จะนำเสนอ
มิติสารคดีด้านยาว คือ การนำเสนอภาพที่ทำให้มองเห็นเข้าใจพัฒนาการอันยาวไกลจากอดีตสู่ปัจจุบัน จากยุคหนึ่งสู่ยุคหนึ่ง
มิติสารคดีด้านลึก คือ การนำเสนอเรื่องที่ลึกจากจิตวิญญาณของผู้คนที่มีความผูกพันอยู่กับสิ่งนั้นๆ หรือสิ่งนั้นก่อให้เกิดอารมณ์ หรือในด้านใดด้านหนึ่ง เช่นตื่นเต้น ตื่นตาตื่นใจ ปีติยินดี โศกสลด สนุกสนาน
ทั้งนี้มิติของสารคดีทั้งสามด้าน ควรถูกนำเสนออย่างเหมาะสมเพื่อปรับใช้ “หัวใจ” หรือ “แก่นกลาง” หรือประเด็นของเรื่อง (maim point) ที่ผู้เขียนบทต้องการนำเสนอ(ซึ่งควรจะต้องกำหนดไว้ตั้งแต่เริ่มก่อนที่จะลงมือเขียน)
จุดมุ่งหมายของสารคดี
๑. เพื่อให้ความรู้ อาจเป็นความรู้เฉพาะสาขาวิชา เช่น วิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ ภาษาศาสตร์ ซึ่งความรู้เฉพาะสาขาวิชาเหล่านี้เมื่อนำมาเขียนในลักษณะของสารคดีจะมีความน่าสนใจกว่า การเขียนเชิงวิชาการ การเขียนในเชิงวิชาการ เพราะการเขียนลักษณะนี้ต้องมีการเชื่อมโยงอธิบายความอย่างง่าย สามารถเขียนนำเสนอโดยการเปรียบเทียบ หรือบรรยายให้เห็นจริงอย่างง่าย ไม่เน้นภาษาวิชาการ แต่เน้นการทำให้คนทั่วไปได้เกิดความรู้ความเข้าใจโดยรวมได้
๒. เพื่อให้ข้อเท็จจริง ซึ่งอาจได้มาจากประสบการณ์ที่ผู้เขียนค้นคว้า รวบรวมมาจากประสบการณ์ของตนเอง หรือได้รับการบอกเล่าโดยมีหลักฐานที่น่าเชื่อถือ ซึ่งผู้เขียนจะนำมาเรียบเรียง หรือเล่าในรูปสารคดี เช่น สารคดีท่องเที่ยว สารคดีเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
๓. เพื่อแสดงความคิดเห็น หรือแนวคิด เป็นการให้แนวคิดที่เป็นประโยชน์ เพื่อส่งเสริมให้ผู้อ่านมีความคิดที่กว้างยิ่งขึ้น เช่น สารคดีเกี่ยวกับพัฒนาชุมชน
๔. เพื่อให้ความเพลิดเพลิน เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากที่สุด สารคดีบางเรื่องจึงเขียนให้เป็นสารคดีที่ไม่มีสาระวิชาการมากเกินไป ทั้งนี้เพื่อมุ่งสนองความต้องการของผู้อ่านเกิดความเพลิดเพลิน สนุกสนานไปกับเรื่อง ขณะเดียวกันก็ได้สาระความรุ้ ข้อเท็จจริง และความคิดเห็นด้วย เช่นสารคดีท่องเที่ยว ผู้เขียนจำนำชมสถานที่แปลกๆใหม่ๆ สวยๆ งามๆ โดยมีการพรรณนาความงามตามธรรมชาติ ด้วยถ้อยคำที่สละสลวย
ประเภทสารคดี
แบ่งตามเนื้อได้กว้างๆ ๔ ลักษณะ
๑. สารคดีวิชาการ เป็นเรื่องให้ความรู้วิชาการแขนงต่างๆเช่น วิทยาศาสตร์ ภาษา เกษตรฯลฯ
๒. สารคดีทั่วไป เป็นเรื่องให้ความรู้ทั่วๆไปเช่น การท่องเที่ยว การกีฬา งานอดิเรก ประเพณี วัฒนธรรมออกกำลังกาย ฯลฯ
๓. สารคดีชีวประวัติ เขียนเกี่ยวกับบุคคลที่มีชื่อเสียง หรือบุคคลที่มีความสามารถพิเศษผู้ที่เขียนจะต้องมีข้อมูลอย่างถูกต้อง ให้ความเป็นธรรม ปราศจากอคติลำเอียง
๔. สาระคดีแนะนำ จะมีเนื้อหาหลากหลายครอบคลุมการดำเนินชีวิตของมนุษย์ทุกแง่มุม ตั้งแต่ปัจจัยสี่ การประกอบอาชีพ พักผ่อนยอนใจ
องค์ประกอบและโครงสร้างการเขียนสารคดี
๑. คำนำ คือ การเริ่มต้นเรื่องที่จะเขียนโดยเกริ่นนำให้ผู้อ่านทราบเรื่องที่จะเขียนนั้นเกี่ยวกับเรื่องอะไร เป็นการเสนอทรรศนะอย่างกว้างๆไว้ก่อน ไม่ต้องอธิบายละเอียด และไม่ต้องเขียนยาวมากนัก มีเพียงย่อหน้าเดียว ควรมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความสนใจแก่ผู้อ่านให้ได้ทราบข้อมูล เรื่องที่น่ารู้น่าสนใจ
๒. เนื้อเรื่อง คือการ ขยายเนื้อความให้ผู้อ่านได้ทราบข้อมูล รายละเอียด โดยอาจแยกสถิติ ตัวอย่างประกอบ เพื่อความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น การเขียนอาจมีหลายย่อหน้า
๓. สรุป คือ การเขียนข้อความลงในตอนท้ายของเรื่อง ผู้เขียนต้องใช้ศิลปะในการสร้างความประทับใจแก่ผู้อ่าน อาจใช้กลวิธี เช่น สรุปโดยการใช้สำนวน คำพังเพย หรือคำคม หรือทิ้งท้ายด้วยคำถามน่าสนใจ หรือการเขียนสรุปมีย่อหน้าเดียว
ขั้นตอนการเขียนสารคดี
๑. เตรียมตัว ผู้เขียนต้องศึกษาเหตุการณ์ ติดตามเรื่องราว ศึกษาจากเอกสาร หนังสือ หรือการทดลอง เพื่อแสวงหาข้อเท็จจริง และเตรียมข้อมูล โดยต้องเลือกเรื่อง กำหนดจุดมุ่งหมาย ศึกษาแหล่งข้อมูล และเก็บรวบรวมข้อมูล ระยะเวลาเตรียมตัว เป็นระยะที่สำคัญมากต้องอ่าน ต้องสัมภาษณ์ ต้องดูของจริง เพื่อค้นหาหลักฐานประกอบสารคดี
๒. การลงมือเขียน เมื่อรวบรวมข้อมูลต่างๆได้พร้อมแล้ว ก็ลงมือเขียนโดยตั้งชื่อเรื่องโครงเรื่อง และลงมือเขียนรายละเอียดของเรื่องด้วยความตั้งใจ ใช้ภาษาที่ชัดเจน ไม่คลุมเครือ เร้าใจให้ผู้อ่านเกิดความประทับใจ และจูงใจให้ผู้อ่านสนใจติดตามต่อไประยะลงมือเขียนต้องขึ้นต้นให้น่าสนใจ อันจะเป็นการเรียกร้องความสนใจผู้อ่าน
๓. ทบทวนเรื่องที่เขียน
๔. ตรวจทาน
๕. การตั้งชื่อเรื่อง
การเขียนบทความ
๑. ความหมาย
บทความ คือความเรียงที่เขียนขึ้นโดยมีหลักฐานข้อเท็จจริง และเนื้อหานั้นผู้เขียนได้แทรกข้อเสนอแนะความคิดเห็น ข้อวิพากษ์วิจารณ์ความมีรูปแบบอย่างสร้างสรรค์ไว้ด้วย
รูปแบบบทความ มีรูปแบบการเขียนเหมือนกัน คือมีโครงเรื่องอันประกอบด้วยสามส่วนใหญ่ๆ ได้แก่ คำนำ เนื้อเรื่อง สรุป หรือคำลงท้าย
ความมุ่งหมายของบทความ บทความนั้นเขียนขึ้นเพื่อเสนอข้อคิดเห็นเกี่ยวกับ เรื่องราวหรือเหตุการณ์นั้นๆ
หัวข้อของบทความต้องทันสมัย ทันต่อเหตุการณ์ อยู่ในความสนใจของผู้อ่าน
บทความที่ดี คือ บทความที่อ่านเข้าใจง่ายและชัดเจน ที่ผู้อ่านจะได้รับสาระอย่างที่ผู้เขียนต้องการ
๒. ลักษณะของบทความ
- เป็นเรื่องที่ผู้อ่านส่วนมากกำลังสนใจในขณะนั้น
- มีแก่นสาร สาระ อ่านได้ความรู้ หรือความคิดเห็นเพิ่มเต็มไม่เลื่อนลอย
- ต้องมีข้อทรรศนะ ข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะของผู้เขียนแทรกด้วย
- มีวิธีเขียนชวนให้อ่าน อ่านแล้วท้าทายความคิดและสนุกสนานเพลิดเพลิน จากความคิดเห็นในถกเถียงนั้น
- มีเนื้อหาสาระและสำนวนภาษาเหมาะกับผู้อ่าน
๓. วัตถุประสงค์ของบทความ
หัวใจของบทความ คือ การเขียนเพื่อต้องการเผยแพร่เรื่องราวให้กลุ่มผู้อ่านหรือประชาชน ได้รับรู้ผ่านสิ่งพิมพ์ต่างๆ โดยมีวัตถุประสงค์ดังนี้
๑. เพื่ออธิบายความ ชี้แจงหรือให้ความรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่ง
๒. เพื่อบรรยายให้ผู้อ่านเห็นภาพของเหตุการณ์ สถานที่ หรือสภาพต่างๆ
๓. เพื่อโน้มน้าวใจ จูงใจ ให้ผู้อ่านคล้อยตามความคิดตน
๔. เพื่ออภิปรายเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมขณะนั้น
๕. เพื่อชี้นำให้ผู้อ่านเห็นด้วย และ ปฏิบัติตามความคิดเห็นของผู้เขียน
๔. ประเภทของบทความ
แบ่งเป็นประเภทใหญ่ๆ
๑. แบบสาระ(formal essay) คือบทความที่เน้นทางวิชาการ ผู้เขียนต้องการอธิบายความรู้อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นสำคัญ
๒. แบบปกิณกะ (informal essay) คือ บทความที่สาระกับผู้อ่านพร้อมๆกับให้ความสนุกเพลิดเพลิน
นอกจากนั้นยังแบ่งบทความตามลักษณะเนื้อเรื่องของบทความ ดังนี้
๑. บทความแสดงความคิดเห็น เป็นบทความหยิบหยกปัญหาสังคมนั้นมาเขียน โดยเป็นปัญหาส่วนรวม เช่น เศรษฐกิจ สังคม การเมือง
โดยแนวการเขียนมี ๒ แนว คือแนวยอมรับ และแนวโต้แย้ง โดยผู้เขียนเลือกแสดงความคิดเห็นด้านใดด้านหนึ่ง
วิธีการเขียน คือ แยกแยะปัญหา คืออะไร แล้วค่อย วิธีการแก้ปัญหาเป็นอย่างไร ผู้เขียนเห็นชอบ หรือไม่เห็นชอบ และให้เหตุผลที่ ชอบ หรือไม่ชอบ และสุดท้ายย้ำความคิดเห็นของตนเอง
๒. บทความประเภทสัมภาษณ์ เป็นบทความที่แสดงความคิดเห็นของบุคคลเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ ผู้เขียนบทความต้องรู้จัก ปละคัดเลือกบุคคลที่สัมภาษณ์
วิธีการเขียน คือทำได้ในรูปแบบ ถาม-ตอบ กล่าวคือ มีการแสดงคำถามและคำตอบ สามารถใช้เทคนิคอื่นๆเข้าช่วยเช่น บรรยายบรรยากาศสัมภาษณ์
๓. บทความประเภทกึ่งชีวประวัติ มีลักษณะคล้ายบทความประเภทสัมภาษณ์ต่างกันในแง่ บทความสัมภาษณ์ ต้องแสดงความคิดเห็นของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง เกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ส่วนบทความเชิงชีวประวัติ ต้องแสดงเรื่องราวกับตัวบุคคล แต่ไม่เน้นอัตชีวประวัติ เน้นที่ความสามรถพิเศษและคุณสมบัติพิเศษ เรื่องชีวประวัติเป็นเรื่องสำคัญรองมา
๔. บทความประเภทคำแนะนำ เป็นบทความที่ให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรืออธิบายวิธีการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
๕. บทความประเภทให้แง่คิด โน้มน้าวใจ คือ มุ่งให้ผู้อ่านกระตุ้นให้คิด หรือกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง
๖. บทความประเภทท่องเที่ยวเดินทาง เป็นบทความนำเสนอมุมมองทัศนะเกี่ยวกับประสบการณ์ของผู้เขียนที่ได้มีโอกาสเดินทางท่องเที่ยวชม ภูมิประเทศหรือสถานที่แปลกใหม่ๆ เป็นการเปิดหูเปิดตา
จุดมุ่งหมายของบทความสารคดีท่องเที่ยว คือ การชี้ชวน แนะนำ หรือกระตุ่นเตือนให้ผู้อื่นเกิดความรุ้สึกอยากไปพบเห็นด้วยตนเอง สถานที่แปลกใหม่ที่คนยังไม่กล้าที่จะไปเที่ยว
บทความประเภทท่องเที่ยวเช่นนี้แตกต่างจากสารคดีท่องเที่ยว คือ บทความจะบอกกล่าวอย่างตรงไปตรงมา แต่สารคดีท่องเที่ยวมักให้แง่มุมต่างๆตลอดจนอารมณ์ความรู้สึกจากบุคคลแวดล้อมในเหตุการณ์
วิธีการเขียนบทความท่องเที่ยว คือผู้เขียนควรมีประสบการณ์ด้วยตนเองมาก่อน และได้เดินทางจนถึงสถานที่นั้น ได้สังเกต จดจำสิ่งต่างๆมาเป็นอย่างดี แล้วถ่ายทอดประสบการณ์นั้นออกมาเป็นตัวหนังสือ นอกจากข้อเท็จจริงต่างๆแล้ว ข้อสังเกต เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยๆ คำเตือนใจ หรือข้อระวังในการปฏิบัติตนระหว่างเดินทางของผู้เขียนเคยประสบ หรือผิดพลาด จะช่วยให้เรื่องน่าสนใจ
นอกจากสองปะเภทใหญ่ข้างต้นยังมีบทความประเภทครบรอบปี..
วิธีการเขียนบทความ
o ก่อนเขียนบทความ ผู้เขียนต้องสืบเสาะหาความรู้เรื่องราวอันเป็นสาระมาเพื่อเป็นเนื้อหาแห่งการเขียน (ไม่ใช่แต่งขึ้น สมมุติขึ้น)
o การเขียนบทความให้ดี ผู้เขียนต้องรูจักการวางโครงเรื่อง เพราะจะทำให้ควบคุมการเขียน ให้เป็นไปตามแนวที่กำหนด อีกทั้งเป็นการป้องกันมิให้เขียนวกวน
o โครงเรื่อง คำนำ เนื้อเรื่อง สรุป
คำนำเกริ่นให้รู้ว่าจะเขียนเรื่องอะไร และต้องให้ชวนติดตาม
เนื้อเรื่องแบ่ง ๒ ตอน คือ ตอนแรกขยายตรงที่เกริ่นนำ ส่วนที่สองเป็นต้นไปเป็นรายละเอียด
บทสรุป เป็นการแสดงทัศนะข้อคิดเห็นของผู้อื่น หรือเหตุการณ์ต่อเรื่องนั้น รวมทั้งให้ข้อเสนอแนะหรือข้อสังเกตในการแก้ปัญหาด้วย
ลักษณะการเขียนบทความ
๑. ต้องไม่ลืมวัตถุประสงค์ของบทความ คือถ่ายทอดข้อมูล แง่มุมมาสู่ผู้อ่านให้ได้รวดเร็ว เข้าใจง่าย
๒. บทความที่สั้นมักได้รับความสนใจมากกว่าบทความที่ยาว
a. ลักษณะการเขียนความนำ เป็นส่วนที่ยากที่สุด การเขียนคำนำต้องประณีต เพื่อจูงใจผู้อ่าน ให้ติดตามเรื่อง
รูปแบบการเขียนคำนำ คือ
๑. การนำข่าวมากล่าวขึ้นตนเพื่อแสดงทัศนะ แง่คิด
๒. หรือข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนั้นต่อเนื่อง
๓. หรือนำเอาความคิดเห็นของผู้เขียนขึ้นเรื่องก่อนก็ได้ และนำหลักการเขียนคำนำดังกล่าวมาไว้ในข้างต้นมาปรับประยุกต์ใช้อาทิเช่น การขึ้นเรื่องด้วยคำถาม หรือสรุปใจความสำคัญของสิ่งที่ต้องการเขียนบทความถึง
b. การเขียนเนื้อเรื่อง เป็นส่วนที่ยาวที่สุด รวมรวมความคิดและข้อมูลทั้งหมด เป็นย่อหน้าและต้องมีความสัมพันธ์กลมกลืนกัน ไม่วกวน ถ้อยคำที่ใช้ถูกต้องตามพจนานุกรม
c. การเขียนบทสรุป ต้องทราบว่าต้องการบอกผู้อื่นที่เสนอมาทั้งหมดว่าอะไร เช่นสรุปแบบ ประทับใจ ฝากให้ไปคิดและทิ้งปัญหาไว้กับผู้อ่าน การเขียนสรุปลงท้ายมีหลายรูปแบบ เช่น
๑. สรุปด้วยคำถามที่ชวนให้ผู้อื่นคิดหาคำตอบ
๒. สรุปด้วยการแสดงความประสงค์ของผู้เขียน
๓. สรุปด้วยการใช้คำกล่าว คำคม บทกวี เป็นต้น
แนวทางการเขียนบทความที่มีประสิทธิภาพ
- เริ่มจากเลือกเรื่องที่จะเขียน
- บทความที่ดี คือ สามารถอธิบายบางสิ่งบางอย่างให้ประโยชน์กับผู้อ่าน
โดยแนวทางสรุปได้ดังนี้
๑. นักเขียนพึงวางแผนการเขียนของตนเสียก่อน โดยหลักง่ายคือ
a. วางเค้าโครงหัวข้อย่อยต่างๆ
b. หากผู้เขียนสามารถนึกจุดสำคัญลองเขียนลงไปก่อนในหัวข้อย่อย
c. จัดเรียงลำดับหัวข้อย่อย ความต่อเนื่องของเนื้อหา เพื่อให้ผู้เขียนลำดับความคิดและติดตามเรื่อง
๒. การเริ่มต้นการเขียนบทความที่ดี
ควรเริ่มกันตั้งแต่ชื่อบทความ
ข้อความย่อหน้าแรก และหัวข้อย่อยบทความ (ความน่าสนใจ และความ สำคัญอย่างไร และจะได้ประโยชน์อะไร
ชื่อเรื่องบทความ ต้องมีความน่าสนใจ และบอกกับผู้อ่านว่าเกี่ยวกับอะไร
๓. การเขียนไม่ควรให้ข้อความของแต่ละย่อหน้ายาวเกินไป เพราะยาวมากผู้อ่านจะล้าสายตา
a. แต่ละย่อหน้าไม่ควรเกิน ๑๕-๒๐ บรรทัด
b. ถ้าย่อหน้าไหนเนื้อหาย่อหน้าเดียวกัน ยาวเกินไปสามารถตัดทอนได้ แบ่งเป็นย่อหน้าใหม่
c. ผู้เขียนไม่ควรใช้ศัพท์เทคนิคมากเกินไป
การวางแผนการเขียน คือ การหาความคิด การแยกแยะความคิดที่หามาได้ และการเรียงลำดับความคิดนั้น การจัดเรียงที่เหมาะเจาะทำให้คนรับรู้เนื้อหาต่างกัน ต้องเลือกเสียก่อนว่าจะเขียนอะไร แนวไหน สำหรับเรื่องที่กำหนดไว้ การจัดลำดับการเขียนไม่มีเกณฑ์แน่นอน / รูดอล์ฟ เฟลซ
หลักการวางแผนงานเขียนทางวารสารศาสตร์ที่ดี คือ นักเขียนทุกคนมองและคิดหัวเรื่องที่น่าสนใจ และไม่มีผู้นำเสนอมาก่อน มากำหนดเป็นหัวเรื่องที่จะทำ แสวงหาข้อมูล ข้อเท็จจริงๆต่างๆ มานำเสนอ...
หลักการเลือกหัวเรื่องสำหรับงานเขียน
หลักการเลือกหัวเรื่องเป็นขั้นตอนที่ยากที่สุด..ในงานด้านวารสารศาสตร์ โดยต้องหาความคิดในการเขียนเรื่อง โดยมีวิธีการ ๓ ทางด้วยกัน คือ
๑. จากประสบการณ์ส่วนตัว
๒. จากประสบการณ์ผู้อื่น
๓. จากการอ่านหนังสือ (โดยจะต้องไม่เขียนซ้ำกับเรื่องที่มีมาแล้ว)
เทคนิคการคิดหัวเรื่อง
๑. การผสมหัวเรื่องเพื่อกำหนดประเด็น
- ขั้นตอนแรกผู้เขียนพึ่งคำนึงถึงคือกลุ่มเป้าหมาย ว่าเป็น ใคร? สนใจอะไร?
- รวบรวมจัดเป็นหัวข้อคร่าวๆ
- หลังจากนั้นจัดหมวกหมู่ หาความสัมพันธ์ หรือเอาหัวข้อนั้นมาโยงเข้าหากัน จะทำให้ประเด็นที่น่าสนใจมากยิ่งขึ้น
๒. การย่อยหัวเรื่องเพื่อกำหนดประเด็น
- ทำให้ผู้เขียนมีทางเลือกที่จะค้นคว้าและ
- กำหนดหัวเรื่องที่จะเขียนให้สอดคล้องกับความสนใจผู้อ่าน และ
- ประเภทของช่องทางที่จะนำเสนองานเขียน
๓. การเลือกหัวเรื่องโดยใช้หลักการเป็นข่าว
หลักการสร้างความสนใจร่วมในงานเขียน
ผู้เขียนพึงระลึกอยู่เสมอว่ากำลังผลิตงานเขียนให้ใครอ่าน อาจแยกพิจารณาตามช่องทางการเผยแพร่งานเขียนไม่ว่าจะเป็นนำเสนอหรือตีพิมพ์ เพราะช่องทางการเผยแพร่มักมีกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน เมื่อเรารู้กลุ่มเป้าหมายเราก็เริ่มวางแผนงานเขียนได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ตั้งแต่การกำหนดหัวเรื่อง การเลือกใช้ระดับภาษา และลีลาการนำเสนอ
ในขณะเดียวกันผู้เขียนเองก็ต้องมีความยากที่จะเขียน หรือ นำเสนอเรื่องนั้นให้ผู้อ่านได้รับทราบ ซึ่งเปรียบเสมือนแรงบันดาลใจ ความอยากเล่า อยากนำเสนอเรื่องราวที่เป็นประโยชน์กับผู้อ่าน อยากให้ผู้อ่านได้รับความรู้ความคิด ในแง่มุมที่แตกต่าง
โดยลักษณะดังกล่าวจะทำให้เกิดการสื่อสารที่ดี คือ ความสนใจร่วมระหว่างผู้เขียนและผู้อ่าน
หลักการรับรู้กับการคิดงานเขียน
เป็นประโยชน์กับกับคิดงานเขียนกล่าว คือ
๑. การรับรู้ผ่านความตั้งใจ คือ มองผ่านมุมมองตนเอง ผ่านมุมมองความคิดเห็นที่เหมือนกับความต้องการของคนอื่นๆ แต่เรานำเสนอในมุมมองที่แตกต่างไป เช่น คนสนใจส่วนใหญ่ โยหลักการนี้ ผู้เขียนต้องคิดหัวข้อกว้างๆก่อน ว่างานเขียนของตนเองมีเป้าหมายผู้อ่านกลุ่มใด
๒. การรับรู้ผ่านความประทับใจ
๓. ความสำคัญของสิ่งใกล้ตัว
๔. หลักความเท่าเทียมกัน
หลักการรวบรวมข้อมูลเพื่องานเขียนเชิงวารสารศาสตร์
- เริ่มค้นหาจุดมุ่งหมายงานเขียนที่แน่นอน
- แสวงหาข้อมูลประกอบการคิดและการเขียน
- วิเคราะห์ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล / ความน่าเชื่อถือของข้อมูล
o ข้อมูลอาจหามาได้ ๓ ประเภท กล่าวคือ
ข้อมูลจดบันทึกไว้ที่ต่างๆ
ข้อมูลได้จากการจดจำของผู้เขียน
ข้อมูลที่ได้จากวิเคราะห์ของผู้อื่น
การวางแผนการเขียน
1. หาเรื่อง โดยการ สร้างอคติ bias
2. หาข้อมูล โดย การสังเกต การสัมภาษณ์/พูดคุย ค้นคว้าจาก เอกสาร อินเตอร์เน็ต ฯลฯ
3. วางประเด็น(ประมวลหาประเด็นองค์ประกอบน่าสนใจ) เหมือนองค์ประกอบของข่าว
a. ความใกล้ชิด
b. ความเด่น
c. ความแปลกประหลาด (สังเกตข่าวช่วยหวยออกมี agenda setting)
d. ผลกระทบกระเทือน(เชิงกายภาพและกระทบต่อคนส่วนใหญ่)
e. ความขัดแย้ง
f. ความมีเงื่อนงำ
g. ปุถุชนสนใจ
h. เพศ
i. ความขับขัน
j. ความเปลี่ยนแปลง
หลักการวางโครงเรื่องในงานเขียน
การวางโครงเรื่อง คือ การจัดระเบียบความคิดในการเขียนให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันและอยู่ในกรอบที่กำหนดไว้ เมื่อผู้เขียนเลือกเรื่องที่จะเขียน และจำกัดขอบข่ายเรื่องได้อย่างชัดเจนแล้ว ขั้นตอนจ่อไปต้องเตรียมแนวเรื่องหรือโครงเรื่องเป็นประเด็น จากประเด็นหลัก ไปสู่ประเด็นย่อย โดยประเด็นย่อยต้องสนับสนุนหรืออยู่ในขอบข่ายประเด็นหลักเสมอ...
ประเด็นหลักของเรื่อง คือ ส่วนที่สำคัญที่เป็นตัวบอกโครงเรื่อง และเนื้อหาหลักที่ต้องการนำเสนอ กฎพื้นฐานการเขียนเรื่องก็คือ ความเป็นเอกภาพ งานเขียนที่ดีควรเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับประเด็นใดประเด็นหนึ่งเพียงชนิดเดียว ซึ่งควรบอกผู้อ่านเนิ่นๆ ในการเริ่มต้นงานเขียน เพราะทำให้ผู้อ่านเริ่มจินตนาการไปกับข้อเขียนได้อย่างถูกต้องตามเนื้อหาและวัตถุประสงค์ที่ผู้เขียนต้องการส่งถึงผู้อ่าน (วิบูลย์ )
โครงเรื่องงานเขียนทั่วไป
การเขียนคำนำ (introduction)
การเขียนคำนำ คือ การเขียนเพื่อเปิดประเด็นบอกกล่าวกับผู้อ่านว่ากำลังนำเสนอเนื้อหาใด และเรื่องนั้นมีความน่าสนใจ หรือมีความสำคัญอย่างไร
การเกริ่นนำเพื่อเชื่อมโยงเข้าสู่ประเด็นหลักของเรื่อง โดยบทนำต้องมีความน่าสนใจเพื่อดึงดูดผู้อ่านให้สนใจเรื่องต่อไป
การเขียนประเด็นหลัก (main idea)
การเขียนประเด็นหลัก คือการเขียนเพื่อนำเสนอประเด็นสำคัญ หรือแนวคิดหลักของเรื่องที่ผู้เขียนต้องการส่งไปยังผู้อ่าน โดยมีประโยตสำคัญหลักชัดเจนที่แสดงให้เห็นว่า ผู้เขียนต้องการบอกอะไรกับผู้อ่าน ผู้เขียนต้องการส่งสารอะไรให้กับผู้อ่านได้รับรู้ ซึ่งไม่หนีไปจากหัวเรื่องที่กล่าวไว้ในข้างต้น โดยผู้เขียนมักนำเสนอต่อเนื่องจากบทนำเป็นสำคัญ
การเขียนบทสรุป (conclusion)
การเขียนบทสรุป คือการเขียนส่วนจบเรื่องเพื่อ กระชับ ย้ำประเด็นให้ผู้อ่านเข้าใจ หรือได้ครุ่นคิดในประเด็นของเรื่อง หรือควรเป็นส่วนทิ้งท้ายให้ผู้อ่านพอใจ เกิดการยอมรับ และเห็นคล้อยตาม หรือเข้าใจอย่างลึกซึ้ง การเขียนบทสรุปนั้นถือว่าเป็นการเขียนเชื่อมโยงเข้าสู่จุดจบของเรื่อง เพื่อให้ผู้อ่านเกิดความเข้าใจในเรื่องที่นำเสนอมาทั้งหมด โดยการเขียนสรุปต้องสอดคล้องกับบทนำ และประแด็นหลักของเรื่องให้ข้อคิดหรือเสนอแนะทางออก
โดยการอธิบายความ บรรยายเรื่องราว แสดงคำกล่าว หรือยกตัวอย่างประกอบยืนยัน
๑. บรรยายบรรยากาศห้องสอบในนิตยสารใต้ฟ้าราม
๒. การเขียนสารคดี สารคดีท่องเที่ยว กับบทความท่องเที่ยว เช่น นครนายก แต่อาจารย์จะเปลี่ยนข้อมูล จะเขียนอย่างไร ตั้งข้อมูล หาประเด็นอย่างไร บทความท่องเที่ยวกับสารคดีท่องเที่ยวต่างกันอย่างไร ?
วางประเด็นดังนี้
- สารคดี คืออะไร สารคดีท่องเที่ยวมีจุดมุ่งหมายอะไร
- บทความท่องเที่ยว มีวัตถุประสงค์อย่างไร หัวใจอยู่ตรงไหน ? โดยเราต้องย้อนกลับไปดูวัตถุประสงค์การเขียนบทความ คืออะไร ? เช่น อธิบายให้กระจ่าง ชี้นำให้คิดตาม ทำตาม
- บทความท่องเที่ยว กับสารคดีท่องเที่ยว
- บทความมีหลายประเภท บทความเชิงสาระ เช่น งานวิชาการต่าง อะไร คืออะไร เป็นอย่างไร บทความ เชิงปกินกะ ก็หมายถึงรายการวาไรตี้นั้นเอง เบ็ดตาเล็ต สัพเพเหระ เขียนอะไรก็ได้ที่อยากจะเขียน พวกคอลัมน์นีต ต่างๆ ไปเจออะไรมาก็เก็บมาเล่า เช่น ไปเจอร้านน้ำชา ร้านเหล้ายาดอง โดยต่างจากบทความเชิงสาระคือบทความปกินกะเน้นความเพลิดเพลิน เหล่าไปเรื่อยเหมือนสภากาแฟ เช่น บทความกาละแมร์ในมติชน บทความประเภทสัมภาษณ์ ไม่ใช่ QA อย่างเดียว มีรูปแบบการสัมภาษณ์ประกอบในบทความ โดยมีการเกริ่นเรื่อง นำเรื่อง มีประเด็น เข้าสู่เรื่อง และปิดท้าย โดยจะมีการถ่ายถอดคำพูดลงไปในบทความ บทความกึ่งชีวประวัติ ต่างจากบทความชีวประวัติอย่างไร คือ ชีวประวัติเป็นการเล่าเชิงประวัติสาสตร์ เล่าประวัติของตัวเอง ตั้งแต่เกิดเป็นต้นมา กึ่งชีวประวัติก็คือเป็นการเล่าชีวประวัติของตัวเองหรือผู้ใดผู้หนึ่ง บวกกับความคิดเห็นของผู้เขียน เช่นจะเล่าบทความกึ่งชีวประวัติ เช่น สืบนาคะเสถียร คือเล่าประวัติและสลับกับแง่คิดของผู้เขียน เช่น ถึงแม้สืบฯจะตายแต่กระแสอนุรักษ์ยังอยู่ ฯลฯ ข้อสรุปเล่าชีวิตคนนั้น บวกข้อสรุป บวกด้วยทัศนะ บวกข้อคิดจากผู้เขียน บวกฉากตอนต่างๆ ที่เกิดขึ้น บทความพวก How to เช่น แนะนำ คำกลอน บทความให้แง่คิด โน้มน้าวใจ บทความท่องเที่ยว คืออะไร โครงสร้างบทความ?
คำถาม ถ้าให้คุณเขียนบทความสารดีท่องเที่ยวนครนายก กับ บทความท่องเที่ยวนครนายก จะมีวิธี หลักการรวบรวมข้อมูล วางโครงเรื่อง และเขียนอย่างไร จงเขียนเปรียบเทียบกันให้เห็นจริง? เข้าใจ คือ เข้าถึงหัวใจ ๒ ข้อของการเขียนคุณก็จะเข้าใจความแตกต่างคุณก็จะเขียนอธิบายได้? ข้อสังเกต ต้องตั้งหลักการวางหลักการให้ดี แล้วจะเห็นความต่าง และสรุปได้
๓. อะไรคือหัวใจของงานเขียนทางวารสารศาสตร์ในทัศนะของคุณ
จงอภิปราย(ความต่างระหว่างอภิปรายและอธิบาย / อภิปรายคือ ตอบอะไรก็ได้แต่ขอให้มีเหตุมีผลและหลักการ มีหลักฐาน มีข้อมูล มีตัวอย่างมายืนยัน สนับสนุน โดยเราต้องอภิปราย เช่น เมื่อได้อ่านหนังสือไป อ่านเรื่องนี้ไป / ส่วนอธิบาย คือมีถูกมีผิดชัดเจน)
ความนำ แก่นเรื่อง สรุป (บทความต้องคมๆหน่อย) บทความต้องไม่ยาวไม่เกินสองหน้าการวางแผนการเขียนบทความ ถ้าเกิดต้องเขียนบทความท่องเที่ยว ต้องหาแง่มุม หาเรื่องที่คนส่วนมากไม่ค่อยเขียน เช่น บทความท่องเที่ยวนครนายกคุณจะเอาแง่มุมอะไร ? ตัวอย่างโฆษณาท่องเที่ยว ของ ททท.
๔. การเขียนบทนำ บทสรุป ถามความจำ วิธีการเขียน วิธีการคิดหัว บทสรุปเช่น แง่คิด ตอกย้ำ ทิ้งคำถาม
๕. สารคดี (อันก่อนให้เปรียบเทียบ) ถ้าหากคุณได้รับมอบหมายให้ทำสารคดีเรื่องวิกฤติ.................คุณจะมีวิถี การหาหัวข้อ ตั้งหัวเรื่อง รวบรวมข้อมูล และนำเสนออย่างไร เช่น วิกฤติรามคำแหง เช่น หลักการคิดหัวข้อ ย่อยหัวข้อ วิกฤตคืออะไร เช่น วิกฤติราคำแหง ยุคประชานิยม ยุคไอที เช่นเด็ก ป.๑ ใช้ไอแพด รามคำแหงตามทันไหม
ขอให้ทุกคนโชคดีครับ..สรุปโดยอาณาจักรโกวิทย์
๒๖ กันยายน ๕๔
บรรยากาศกลางวันเป็นวิชาการ ณ ห้องสมุดชั้นหนึ่ง และกลางคืนอันเงียบสงบใช้หัวใจแทนสมองครุ่นคิด..
วันเสาร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2554
วันพุธที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2554
แนวข้อสอบวิชา JR 202 ภาค 1/55
๑. หลักการใหญ่ของการเขียนเชิงวารสารสาสตร์ ในแนวคิดพื้นฐาน ทฤษฎี
๒. สื่อมัลติมีเดีย /สื่อรวม อธิบายแต่ละสื่อเป็นอย่างไร (ข้อแนะนำให้ดูดีๆว่าโจทย์ถามว่าอะไร)
๓. เรื่องการใช้คอมพิวเตอร์สืบค้นข้อมูล ให้อภิปราย ควร หรือไม่ควร ดีหรือไม่ดี
๔. แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ Social media / social network
หมายเหตุ : นักศึกษาที่เข้าห้องเรียนและส่งงานเลือกทำ ๒ ข้อ
กรอบและวิธีการตอบข้อสอบ
๑. หลักการใหญ่ของการเขียนเชิงวารสารสาสตร์ ในแนวคิดพื้นฐาน ทฤษฎี
หลักการทางวารสารศาสตร์
๑. ข้อเท็จจริง Fact
๑. สิ่งที่ตรงข้ามกับความไม่จริง(เปรียบเทียบคู่ตรงข้าม)
๒. เชื่อคนข้างมากว่าเป็นอย่างนั้น คนข้างมาเชื่อว่าเป็นอย่างนั้น เช่น พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก ตกทางทิศตะวันตก
๓. ทดลอง ทดสอบด้วยเครื่องมือ ที่เชื่อถือได้ เช่น อากาศร้อน วัดด้วยทอมอมิเตอร์
๔. อะไรก็ตามที่ผู้พูดมีความน่าเชื่อถือ ผู้รู้ เป็นผู้ทรงคุณวุฒิ หรือมีบุคลิกลักษณะที่ดี
เช่น ครู พ่อ แม่ นักวิชาการ
๕. เชื่อประสาทสัมผัสทั้ง ๕
๖. เชื่อความรู้สึกตนเอง เช่นสิ่งไหนควรทำสิ่งไหนไม่ควรทำ
๗. เชื่อที่เขาพูดต่อๆกันมา
๘. เชื่อด้วยความเป็นเหตุเป็นผล
ประเภทของข้อเท็จจริง
๑. ข้อเท็จจริงส่วนบุคคล
๒. ข้อเท็จจริงสาธารณะ
- ประเด็นที่เรางานด้านวารสารศาสตร์ใช้ข้อเท็จจริงสารธารณะ
ระดับความจริง
๑. รับรู้ด้วยตนเอง ประสาทสัมผัสทั้ง ๕
๒. การตีความ/แปลความหมาย (เช่นเขาเป็นใคร มีคุณลักษณะแบบไหน)
๓. พิสูจน์,ทดลอง,วิจัย (อย่างเป็นระบบ)
ภูมิปัญญา คือสิ่งที่สั่งสม และได้รับการยอมรับ ( เกิดเป็นองค์ความรู้ ที่เกิดจากการสะสมประสบการณ์ และกระบวนการทางสังคม)
๒.ประโยชน์(ผู้รับสาร)
- want = ความต้องการอารมณ์/ ความรู้สึก
- need = ความจำเป็น
ประโยชน์ (มองในส่วนกระทบสังคม)
ประโยชน์
ผู้ผลิต(ส่งสาร) กับผู้รับสาร
๓.ความน่าสนใจ
- ศิลปะทำให้มีสีสัน (ไม่เกินจริง)
๒.สื่อมัลติมีเดีย? /สื่อรวม? อธิบายแต่ละสื่อเป็นอย่างไร (ข้อแนะนำให้ดูดีๆว่าโจทย์ถามว่าอะไร)
- สื่อแต่ละสื่อจะแบ่งกัน และมีลักษณะพิเศษของตัวเอง เช่น ภาพ เสียง งานเขียน วิดิโอ
- ผสมกันโดยใช้เทคโนโลยีในการผสม
- เทคโนโลยี คือ การสร้างมูลค่าเพิ่ม เป็นกระบวนการ software การผสานสื่อรวมสื่อ หลอมรวมกลายเป็นสื่อใหม่ โดยปัจจุบันเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ เป็นแหล่งรวมสื่อให้เข้าด้วยกัน..
๓.เรื่องการใช้คอมพิวเตอร์สืบค้นข้อมูล ให้อภิปราย ควร หรือไม่ควร ดีหรือไม่ดี
- หลักการอภิปราย(ความต่างระหว่างอภิปรายและอธิบาย / อภิปรายคือ ตอบอะไรก็ได้แต่ขอให้มีเหตุมีผลและหลักการ มีหลักฐาน มีข้อมูล มีตัวอย่างมายืนยัน สนับสนุน โดยเราต้องอภิปราย / ส่วนอธิบาย คือมีถูกมีผิดชัดเจน)
ข้อดี
- สืบหาข้อมูล สะดวก รวดเร็ว
เหตุผล ข้อมูลถูกรวบรวมไว้แล้ว และมีการจัดเป็นหมวดหมู่ ยกตัวอย่างเช่น หน่วยงาน องค์กร องค์ความรู้ต่างๆรวบรวมไว้
ข้อเสีย
- ข้อมูลอาจไม่จริง เหตุผล อาจโดนหลอก เข้าข้างความคิดตนเอง
- อาจความแม่นยำ เหตุผล อาจไม่ถูกทั้งหมด
- ความน่าเชื่อถือของข้อมูล เหตุผล..แหล่งข้อมูล
๔. แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ Social media / social network
หลักการทำข้อสอบ
๔.๑. อธิบายความหมาย Social media / social network
๔.๒. ประเภทของ Social media / social network
๔.๓. ข้อดี/ ข้อเสีย ประโยชน์ (พยายามยกตัวอย่าง)
ข้างสระน้ำ ราชมังคลาฯ นั่งติวกับเพื่อนๆ ๔ คน โก บอล จอย อ่าว หมู
๒. สื่อมัลติมีเดีย /สื่อรวม อธิบายแต่ละสื่อเป็นอย่างไร (ข้อแนะนำให้ดูดีๆว่าโจทย์ถามว่าอะไร)
๓. เรื่องการใช้คอมพิวเตอร์สืบค้นข้อมูล ให้อภิปราย ควร หรือไม่ควร ดีหรือไม่ดี
๔. แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ Social media / social network
หมายเหตุ : นักศึกษาที่เข้าห้องเรียนและส่งงานเลือกทำ ๒ ข้อ
กรอบและวิธีการตอบข้อสอบ
๑. หลักการใหญ่ของการเขียนเชิงวารสารสาสตร์ ในแนวคิดพื้นฐาน ทฤษฎี
หลักการทางวารสารศาสตร์
๑. ข้อเท็จจริง Fact
๑. สิ่งที่ตรงข้ามกับความไม่จริง(เปรียบเทียบคู่ตรงข้าม)
๒. เชื่อคนข้างมากว่าเป็นอย่างนั้น คนข้างมาเชื่อว่าเป็นอย่างนั้น เช่น พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก ตกทางทิศตะวันตก
๓. ทดลอง ทดสอบด้วยเครื่องมือ ที่เชื่อถือได้ เช่น อากาศร้อน วัดด้วยทอมอมิเตอร์
๔. อะไรก็ตามที่ผู้พูดมีความน่าเชื่อถือ ผู้รู้ เป็นผู้ทรงคุณวุฒิ หรือมีบุคลิกลักษณะที่ดี
เช่น ครู พ่อ แม่ นักวิชาการ
๕. เชื่อประสาทสัมผัสทั้ง ๕
๖. เชื่อความรู้สึกตนเอง เช่นสิ่งไหนควรทำสิ่งไหนไม่ควรทำ
๗. เชื่อที่เขาพูดต่อๆกันมา
๘. เชื่อด้วยความเป็นเหตุเป็นผล
ประเภทของข้อเท็จจริง
๑. ข้อเท็จจริงส่วนบุคคล
๒. ข้อเท็จจริงสาธารณะ
- ประเด็นที่เรางานด้านวารสารศาสตร์ใช้ข้อเท็จจริงสารธารณะ
ระดับความจริง
๑. รับรู้ด้วยตนเอง ประสาทสัมผัสทั้ง ๕
๒. การตีความ/แปลความหมาย (เช่นเขาเป็นใคร มีคุณลักษณะแบบไหน)
๓. พิสูจน์,ทดลอง,วิจัย (อย่างเป็นระบบ)
ภูมิปัญญา คือสิ่งที่สั่งสม และได้รับการยอมรับ ( เกิดเป็นองค์ความรู้ ที่เกิดจากการสะสมประสบการณ์ และกระบวนการทางสังคม)
๒.ประโยชน์(ผู้รับสาร)
- want = ความต้องการอารมณ์/ ความรู้สึก
- need = ความจำเป็น
ประโยชน์ (มองในส่วนกระทบสังคม)
ประโยชน์
ผู้ผลิต(ส่งสาร) กับผู้รับสาร
๓.ความน่าสนใจ
- ศิลปะทำให้มีสีสัน (ไม่เกินจริง)
๒.สื่อมัลติมีเดีย? /สื่อรวม? อธิบายแต่ละสื่อเป็นอย่างไร (ข้อแนะนำให้ดูดีๆว่าโจทย์ถามว่าอะไร)
- สื่อแต่ละสื่อจะแบ่งกัน และมีลักษณะพิเศษของตัวเอง เช่น ภาพ เสียง งานเขียน วิดิโอ
- ผสมกันโดยใช้เทคโนโลยีในการผสม
- เทคโนโลยี คือ การสร้างมูลค่าเพิ่ม เป็นกระบวนการ software การผสานสื่อรวมสื่อ หลอมรวมกลายเป็นสื่อใหม่ โดยปัจจุบันเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ เป็นแหล่งรวมสื่อให้เข้าด้วยกัน..
๓.เรื่องการใช้คอมพิวเตอร์สืบค้นข้อมูล ให้อภิปราย ควร หรือไม่ควร ดีหรือไม่ดี
- หลักการอภิปราย(ความต่างระหว่างอภิปรายและอธิบาย / อภิปรายคือ ตอบอะไรก็ได้แต่ขอให้มีเหตุมีผลและหลักการ มีหลักฐาน มีข้อมูล มีตัวอย่างมายืนยัน สนับสนุน โดยเราต้องอภิปราย / ส่วนอธิบาย คือมีถูกมีผิดชัดเจน)
ข้อดี
- สืบหาข้อมูล สะดวก รวดเร็ว
เหตุผล ข้อมูลถูกรวบรวมไว้แล้ว และมีการจัดเป็นหมวดหมู่ ยกตัวอย่างเช่น หน่วยงาน องค์กร องค์ความรู้ต่างๆรวบรวมไว้
ข้อเสีย
- ข้อมูลอาจไม่จริง เหตุผล อาจโดนหลอก เข้าข้างความคิดตนเอง
- อาจความแม่นยำ เหตุผล อาจไม่ถูกทั้งหมด
- ความน่าเชื่อถือของข้อมูล เหตุผล..แหล่งข้อมูล
๔. แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ Social media / social network
หลักการทำข้อสอบ
๔.๑. อธิบายความหมาย Social media / social network
๔.๒. ประเภทของ Social media / social network
๔.๓. ข้อดี/ ข้อเสีย ประโยชน์ (พยายามยกตัวอย่าง)
ข้างสระน้ำ ราชมังคลาฯ นั่งติวกับเพื่อนๆ ๔ คน โก บอล จอย อ่าว หมู
วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2554
วันศุกร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2554
วันพฤหัสบดีที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2554
JR 201 ข้อสอบมี 5 ข้อ นะครับ..
คลิ๊กที่ภาพนะครับภาพจะขยายใหญ่ขึ้น
สรุปใครเข้าเรียนทำข้อ 1 - 3 นะครับ..
ใครไม่ได้ส่งงานครบ ทำข้อ 4 - 5 ด้วยครับ.
โชค G นะครับ
โดยอาณาจักร โกวิทย์
สรุปใครเข้าเรียนทำข้อ 1 - 3 นะครับ..
ใครไม่ได้ส่งงานครบ ทำข้อ 4 - 5 ด้วยครับ.
โชค G นะครับ
โดยอาณาจักร โกวิทย์
วันอังคารที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2554
วิชา คอมพิวเตอร์เพื่อการรายงานข่าว JR 301
วิชา คอมพิวเตอร์เพื่อการรายงานข่าว JR 301
วันศุกร์ ที่ 17 มิถุนายน คาบที่3
เทคโนโลยี สารสนเทศ (2)
เกริ่นนำเข้าเรื่อง ประเด็นอาจารย์พูดถึง เทคโนโลยีมือถือ ประสิทธิภาพ การรองรับ
เทคโนโลยีสารสนเทศ
เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ ช่วยรายงานการจัดเก็บข้อมูล บันทึก และประมวลข้อมูลให้รวดเร็ว และถูกต้อง ตัวอย่าง ประวัติคอมพิวเตอร์ ความรู้รอบตัว IBM เพิ่งฉลอง 100 ปี) การทำงาน เช่น ตู้ ATM ธนาคาร จะมี main board ขนาดใหญ่ประมวลข้อมูล
เทคโนโลยีเทคโนคมนาคม
ช่วยส่งผ่านข้อมูลที่ถูกประมวลผลตามสถานีต่างๆ ตัวอย่าง การเปลี่ยนระบบ analogue จะเปลี่ยนเป็นระบบ digital ระบบ คอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์
อุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์ ที่สามารถใส่โปรแกรม (software) สั่งงานให้รับทราบข้อมูล ประมวลข้อมูล เพื่อให้ได้สารสนเทศ ที่เป็นประโยชน์ และเก็บสารสนเทศนั้นไว้ใช้งาน
ภาษาคอมพิวเตอร์ ใช้ 0 และ 1 เป็นระบบประมวลผล
ประโยชน์คอมพิวเตอร์ทางตรง
ความรวดเร็ว (speed
ความน่าเชื่อถือ reliability
ความสามารถในการจัดเก็บ storage capability
ประโยชน์ทางอ้อม
เพิ่มประสิทธิผล+ประสิทธิภาพ : เร็วขึ้นและดีขึ้น
ช่วยการตัดสินใจ
ลดต้นทุน
การทำงานของคอมพิวเตอร์
(ภาพ)
คอมพิวเตอร์ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ
1.Hardware
2.Software
1.Hardware
Input devices
Processor
Output devices
Storage
Communication
Input : อุปกรณ์ที่ใช้เครื่องมือสำหรับเก็บรวบรวมข้อมูลและนำข้อมูลเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์โดยแปลงให้เป็นสัญญาณ อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นรูปแบบที่คอมพิวเตอร์เข้าใจและเหมาะสมกับการประมวลผล
Input Devices :
อุปกรณ์นำเข้าจึงเป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่รับข้อมูลทั้งตัวเลข ภาพ เสียง และสัญลักษณ์ต่างๆ แล้วแปลงเป็นสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ที่คอมพิวเตอร์เข้าใจได้
Input โดยตรง
อุปกรณ์ที่รับข้อมูลจากผู้ใช้โดยตรงและเห็นผลจากการทำงานที่ได้ทันทีจากหน้าจอ
คีย์บอร์ด
เมาส์
ปากกาแสง
จอสัมผัส
ไมโครโฟน
Input : จากสื่อบันทึกข้อมูล
เครื่องอ่านรหัสแท่ง
เครื่องกราดภาพหรือสแกนเนอร์
เครื่องอ่านซีดี
กล้องดิจิตอล
คอมพิวเตอร์ : Processor + memory
Processor
- เป็นตัวที่ใช้ประมวลผล บางครั้งเรียก central Processing unit (cpu)
เป็นศูนย์กลางของกิจกรรมในคอมพิวเตอร์ ประกอบไปด้วยวงจรอิเล็กทรอนิกส์
ทำหน้าที่ในการแปลและทำงานตามคำสั่งโปรแกรม
สื่อสารกับ input และ storage devices
แปลงข้อมูลให้เป็นสารสนเทศ
memory
RAM : ใช้ในการเก็บข้อมูลชั่วคราว หลังจากที่ถูกดึงข้อมูลจาก input device ก่อนที่ข้อมูลจะถูกประมวลผลและหลังจากที่ประมวลผลและก่อนที่จะปล่อยไปยัง input device
ข้อมูลในหน่วยความจำหาย ถ้าไม่มีไฟฟ้า หรือโปรแกรมถูกปิด
คอมพิวเตอร์ : output
Output : ผลลัพธ์จากการประมวลผลโดย CPU รูปแบบทั่วไปของ output เช่น ข้อความ ตัวเลข รูปภาพ เสียง
Screen (monitor) สามารถแสดงข้อความ ตัวเลข รูปภาพ หรือแม้แต่ วิดีโอ ในแบบสี
Printer สร้างรายงานที่ถูกพิมพ์ตามที่โปรแกรมสั่ง
คอมพิวเตอร์ : storage
Storage : การเก็บข้อมูลแบบถาวร แยกต่างจากหน่วยความจำ
จานแม่เหล็ก
จานแสง เช่น ดีวีดี ซีดี
เทปแม่เหล็ก เช่น ระบบคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ คล้ายเทปคลาส ทอมไดร์
คอมพิวเตอร์ : peripheral
Peripheral ซ อุปกรณ์ต่อพ่วงอื่น อาจจะ input output และstorage device เช่น web-cam, flash device เป็นต้น
Netwoeking : ระบบที่ใช้ประกอบการสื่อสารเพื่อการติดต่อกับคอมพิวเตอร์และทรัพยากร
- local area network
- modem
เรียนคาบต่อไป :
คอมพิวเตอร์ : ประเภท
วิชา คอมพิวเตอร์เพื่อการรายงานข่าว JR 301
วันศุกร์ ที่ 24 มิถุนายน คาบที่ 4
คอมพิวเตอร์ : ประเภท
คอมพิวเตอร์สาวนบุคคล (personal computer)
โน๊ตบุ๊กคอมพิวเตอร์ notebook computer
คอมพิวเตอร์พกพา
Midrange
Mainframes
Supercomputer (ความรู้รอบตัวจีนผลิตเครื่องความเร็วที่สุดที่ผ่านมา)
คอมพิวเตอร์สาวนบุคคล (personal computer)
(ภาพ)
บางครั้งอาจเรียกที่มีชื่อแตกต่างกัน เช่น Desktop computer , PCs, microcomputer หรือ home computer
แบ่งได้ 4 ประเภท (เรียงตามคุณภาพของเครื่องคอม)
Low-end computer
Fully-powered personal computer (ปัจจุบันมีถึง Co 4 แล้ว)
Workstations = ส่วนมากใช้ในงาน สถาปัตยกรรม 3D, งาน animation คอมพิวเตอร์ต่อพ่วงหลายๆตัว
Network computer หรือ thin client เอาไปต่อกับเครื่อง ไม่มี harddisk (ปัจจุบันไม่มีแล้ว
โน๊ตบุ๊กคอมพิวเตอร์ notebook computer
เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็ก และน้ำหนักเบา
ความสามารถเหมือรกับ Desktop computer
มี CPU และ หน่วยความจำเหมือนกัน
มี harddisk และ disk-drive หรือ CD-
คอมพิวเตอร์ : handheld computer
personal digital assistant(PDA)
เก็บตารางนัดหมาย,รายชื่อ เป็นต้น
รับข้อมูลเข้าด้วย stylus บนจอ touch screen(ไม่มีแล้ว)
pocket pc
มีความสามารถเหมือน PDA โดยเพิ่มความสามรถในการรันโปรแกรมย่อขนาดลงอย่างเช่น word excel ( ตัวอย่าง ของ ร้าน mK
คอมพิวเตอร์: Handheld computer
tablet computer : คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่มีฟังชั่นการสัมผัสในการสั่งงานได้
คอมพิวเตอร์ : midrange computers
ถูกออกแบบสำหรับผู้ใช้คอมพิวเตอร์หลายๆคนเพื่อรองรับความต้องการสำหรับองค์กรขนาดกลางที่ต้องใช้ประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการทำงานสูง
มีผู้ใช้หลักร้อย หรือหลักพัน เข้ามาติดต่อ
ใช้สำหรับดูแลสินค้าคงคลัง การสั่งซื้อสินค้าและระบบงานอื่นที่ใช้ในบริษัท
คอมพิวเตอร์ : mainframes ( เช่น พวกธนาคาร ภาครัฐ เช่นสำนักงานสถิติแห่งชาติ ระบบจองตั๋วเครื่องบิน ระบบส่งจดหมายตามบ้าน(บิลค่าไฟ น้ำ โทรศัพท์) E-mail servers
คอมพิวเตอร์ที่มีขนาดใหญ่และมีความสามารถสูง
ความสามารถประมวลผลคำสั่งได้เป็นพันล้านคำสั่งต่อวินาที
สามรถจัดการเก็บข้อมูลได้หลายพันล้านตัวอักษร
คอมพิวเตอร์ : Supercomputers
สามารถประมวลผลคำสั่งได้เป็นล้านๆคำสั่งต่อวินาที
ถูกใช้สำหรับงานที่มีความซับซ้อนสูง ที่ต้องการรวบรวมและประมวลผลข้อมูลจำนวนมาก
เช่น การพยากรณอากาศ งานวิจัยด้านอาวุธ งาน super effects
คาบหน้าเรียนเรื่องอินเตอร์เน็ต การสืบค้นและการทำงานรายงานข่าวทางอินเตอร์เน็ต
วิชา 301 คอมพิวเตอร์เพื่อการายงานข่าว
วันที่ 1 กรกฎาคม 2554
ซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์(Software computer)
คือ ชุดคำสั่งหรือโปรแกรมที่เป็นลำดับขั้นตอนที่ใช้สั่งให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานและควบคุมการทำงานของส่วนประกอบต่างๆของฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์
ประเภทซอฟต์แวร์
ซอฟต์แวร์ระบบ (System Software)
- โปรแกรมที่สั่งการให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานต่างๆ ตามที่ผู้ใช้ต้องการ เช่นระบบปฏิบัติการ windows
ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Application software)
- ซอฟต์แวร์ที่พัฒนาขึ้นเพื่อใช้งานด้านต่างๆ ตามความต้องการ
ระบบปฏิบัติการ (Operation system)
- โปรแกรมที่ทำหน้าที่ควบคุมและจัดการเกี่ยวกับการปฏิบัติการพื้นฐานของเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อให้บริการซอฟต์แวร์ประยุกต์ในการรับส่งปละจัดเก็บข้อมูลกับฮาร์ดแวร์
หน้าที่
- บูด (booting)
- จัดการซีพียู (cpu management)
- จัดการแฟ้มข้อมูล file management
- จัดการงาน (task management)
- ฟอร์แมต (formatting)
ประเภทของ OS
- DOS : disk operating System :
1975 บิล เกตส์ พอล อัลเลน ก่อตั้ง ไมโครซอฟท์ และได้นำเอาภาษาเบสิกที่พัฒนาขึ้นเองออกมาวางตลาด และให้ชื่อว่า ไมโครซอฟท์เบสิก ภาษาคอมพิวเตอร์นี้ได้กลายเป็นพื้นฐานให้แก่ธุรกิจลิขสิทธิ์ของซอฟท์แวร์ ซึ่งถูกผนวก(มักใช้ในรูปแบบของรอม) เข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ในบ้านและเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลส่วนใหญ่ในช่วง คริสต์ทศวรรษที่ 70 และ 80
1976 บิล เกตส์ ได้เขียนจดหมายเปิดผลึกถึงผู้นิยมงานอดิเรกซึ่งสร้างความโกรธเคืองแก่ผู้นิยมเล่นคอมพิวเตอร์เป็นงานอย่างมาก โดยเขาประกาศว่าธุรกิจคอมพิวเตอร์ซอฟท์แวร์มีตัวตนในตลาดการค้า และยังบอกว่าไม่ควรทำสำเนาซอฟต์แวร์แจกจ่ายกันโดยไม่ได้รับอนุญาตเจ้าของ
วินโดวส์ windows :
- เป็นระบบปฏิบัติการที่พัฒนาโดยบริษัทไมโครซอฟท์
- เปิดตัวเมื่อปี พ.ศ. 2528 (ค.ศ.1985) และครองความเป็นที่นิยมในตลาดคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของการใช้งานทั่วโลก (แรกผลิตมาจากไต้หวัน)
ยูนิกซ์ Unix
- เป็นระบบ)ปฏิบัติการคอมพิวเตอร์แบหลายงาน หลายผู้ใช้ ที่เริ่มพัฒนาโดยกลุ่มพนักงานของห้องปฏิบัติการ ATT and T (ปัจจุบันไม่มีแล้ว)
ปัจจุบันคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ จะใช้งานวิศวกร..งานสำนักงานที่ใช้พร้อมกันเยอะๆ
ไม่มีปัญหา ไวรัส และ แฮกเกอร์ข้อมูล
แมคโอเอส Mac Os
- ระบบปฏิบัติการสำหรับคอมพิวเตอร์แมคอินทอชโดยทั้งคู่เป็นผลิตภัณฑ์ บริษัท แอปเปิล
- แมคโอแอลเป็นระบบปฏิบัติการที่มีส่วนต่อประสานงานกับผู้ใช้แบบกราฟฟิค(GUI)ที่ประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์
- แรกสุดแมคโอเอส ถูกเรียก ซิเต็ม system และเปลี่ยนมาใช้คำว่าแมคโอเอส ครั้งแรกในแมคโอเอส ครั้งแรกในแมคโอเอส 7.6 (ค.ศ.1996) เนื่องจากเครื่องแมคเลียนแบบที่แพร่หลายในยุคนั้น ทำให้แอบเปิลต้องการแสดงว่าแมคยังเป็นลิขสิทธิ์ของตนอยู่ (สังเกตว่า แมค ไม่มีเครื่องประกอบเพราะต้องการรักษาลิขสิทธิ์ของตนเองอยู่)
โปรแกรมอรรถประโยชน์
Program
- โปรแกรมที่ทำหน้าที่สนับสนุนส่งเสริมและขยายหน้าที่หรือการบริการศึกษาที่นอกเนื่องจากการใช้บริการของระบบปฏิบัติการ
o สำรองข้อมูล data backup
o กู้ข้อมูล data Recover
o ป้องกันไวรัส virus protection
o บีบอัดข้อมูล
o จัดระเบียบข้อมูล ฯลฯ
เทคโนโลยี
โทรคมนาคม
- พัฒนาเพื่อตอบสนองความต้องการของมนุษย์ด้านการสื่อสารทางไกล
- โทรเลข
- โทรศัพท์
- สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ( international telecommunication union) ให้ความหมายโทรคมนาคมขึ้นมา
- โทรคมนาคม หมายถึง การส่งสัญญาณเสียง ภาพ ผ่านสื่อสัญญาณทางสายหรือไร้สายด้วยระบบแม่เหล็กไฟฟ้า อาจเป็นไฟฟ้า แลงหรือวิธีอื่นๆ
องค์ประกอบพื้นฐานคมนาคม
- ผู้ส่ง
- สารสนเทศ
- เครื่องส่ง
- สื่อสัญญาณ
- เครื่องรับ
สัญญาณไฟฟ้าโทรคมนาคม
- เครื่องรับสัญญาณ มันจะทำหน้าที่แปลงสภาพสารสนเทศเป็นสัญญาณคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
o ลักษณะคลื่นต่อเนื่อง
การเปลี่ยนแปลงตามแบบค่อยเป็นค่อยไปเรียก อนาล็อก
o ลักษณะคลื่นไม่ต่อเนื่อง
เป็นภาวะไฟฟ้าที่มีสัญญาณไฟฟ้าและไม่มีไฟฟ้า สัญญาณไฟฟ้าเรียด ระบบสองสภาวะ binary system หรือสัญญาณดิจิตอล
- การบรรจบกันทางดิจิตอล
- เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หมายถึง เทคโนโลยีที่มนุษย์ใช้ในการรับส่งประมวลผล เก็บรักษา ผลิตและเข้าถึงสารสนเทศ อาจเป็นเสียง อักขระ ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหวผ่านสื่อทั้งทางระบบสายและไร้สาย
- โทรศัพท์ประจำที่
- โทรศัพท์เคลื่อนที่
สรุปการสื่อสารข้อมูล
- การรับส่งข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์กับเทอมินัล ระหว่างคอมพิวเตอร์กับคอมพิวเตอร์ หรือระหว่างอุปกรณ์โทรคมนาคมกับอุปกรณ์โทรคมนาคม เช่น โทรสาร โมเด็ม
องค์ประกอบดาต้าเทอร์มินัล (Data terminal Equipment)
เป็นอุปกรณ์ต้นทางและปลายทางที่นำหน้าที่ส่งข้อมูล
- เมอร์มินัลที่สมรรถนะต่ำเรียกว่า ดัมป์เทอร์มินัล
- เทอร์มินัลที่สรรมรรถนะสูง เรียกว่า คอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์เพื่อการรายงานข่าว คาบที่ 6
8 มิถุนายน 2554
- องค์ประกอบดาต้าเทอร์มินัล (Data terminal Equipment)
เป็นอุปกรณ์ต้นทางและปลายทางที่นำหน้าที่ส่งข้อมูล
- เมอร์มินัลที่สมรรถนะต่ำเรียกว่า ดัมป์เทอร์มินัล
(จะไม่มีที่เสียบไดรฟ์เลย)
- เทอร์มินัลที่สรรมรรถนะสูง เรียกว่า คอมพิวเตอร์
- อุปกรณ์ดาต้าคอมมิวนิเคชั่น
- ทำหน้าที่เป็นตัวประสานงานระหว่างอุปกรณ์ดาต้าเทอร์มินัลกับระบบสื่อสัญญาณ
o ทำหน้าที่แปลสัญญาณ
o
- สื่อสัญญาณ ทำหน้าที่เชื่อมต่อข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ดาต้าคอมมิวนิเคชั่น ต้นทางและปลายทาง
- ปัจจัยกำหนดความเร็วการรับ—ส่งข้อมูล
- อุปกรณ์ควบคุมการรับส่งข้อมูล
o อุปกรณ์ดาคาต้าเทอร์มินัล เช่น คอมพิวเตอร์
o อุปกรณ์ดาต้าคอมมิวนิเคชั่น เช่นโมเด็ม
- ระบบสื่อสัญญาณ ทำหน้าที่เป็นตัวนำข้อมูลจากต้นทางไปถึงปลายทาง
- ปริมาณข้อมูล ที่รับ-ส่ง
- เทคโนโลยรการสื่อสาร
- การสื่อสารข้อมูลทางสาย
- เทคโนโลยีโมเด็ม
มาจากคำว่า โมดูเลเตอร์ moduralator แปลว่า การแปลง
หมายถึงการแปลงสัญญาณอนาล็อกเป็นสัญญาณดิจิตอล
- เทคโนโลยีดีแอสแอล (digital subscriber line)
เป็นเทคโนโลยีที่ทำให้ข้อมูลความเร็วสูงสามารถเดินทางมายังบ้านหรือสำนักงานได้ ผ่านคู่สายโทรศัพท์ธรรมดาที่ทำด้วยทองแดง
- เทคโนโลยี ไอเอสดีเอ็น intergrated
o เป็นมาตาฐานของไอทียูที่กำหนดมาตรฐานสำหรับการรับ-ส่งข้อมูล ส่งสัญญาณผ่านทางสายโทรศัพท์หรือสัญญาณอื่นๆ
- เทคโนโลยีเคเบิ้ลโมเด็ม (cable modem)
o เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการรับส่งข้อมูลผ่านอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงของการใช้บริการโทรทัศน์ตามสายเคเบิ้ลทีวี
- คู่สายเช่า – วงจรเช่า (teased line)
o สายโทรศัพท์หรือวงจรที่ให้เช่าสำหรับการใช้ส่วนบุคคลมีความเร็วต่ำจนถึงความเร็วสูง 140 กิกะบิตต่อวินาที (เป็นเทคโนโลยีแรกๆที่นำมาใช้ ปัจจุบันไม่ใช้แล้ว สังเกต แบงค์สมัยก่อนไม่เปิดสาขามาก...ปัจจุบันใช้เทคโนโลยี ดีเอสแอล ตู้ ATM มีทุกที่)
- การสื่อสารไร้สาย (เรียนไปแล้ว
- โทรศัพท์เคลื่อนที่
o เทคโนโลยีจีเอสเอ็ม (global system for mobile : GSM) เจ้าแรก อิเลคสัน
มีความเร็วไม่เกิน 9600 บิตต่อนาที
o เทคโนโลยีจีพีอาร์เอส
o เทคโนโลยีเอ็ดจ ให้ความเร็ว 32 กิโลบิตต่อนาที(ยุโรป)
o เทคโนโลยี ซีดีเอ็มเอ (ฝั่งอเมริกา)
- ระบบไมโครเวฟ (การสื่อสารแห่งประเทศไทยลงทุน ตอนนี้ คือป้องกันเครือข่ายเสีย)
- เทคโนโลยีดาเทียม ระบบดีบีเอส
o เป็นบริการแพร่สัญญาณโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมด้วยความถี่สูงผ่านไมโครเวฟให้แก่สมาชิกโดยตรง ผู้รับจะต้องเป็นผู้ที่อุปกรณ์ถอดรหัสที่ซื้อมาจากบริษัทผู้ให้บริการ
- เทคโนยีคลื่นแสง
o ใช้แสงอินฟราเรดเป็นตัวกลางในการสื่อสาร เช่น ระบบ wireless lan ซึ่งสามารถเคลื่อนย้ายติดตั้ง
- เครือข่ายคอมพิวเตอร์
o เครือข่าย หมายถึงจุดต่อหลายๆ จุดมาเชื่อมต่อกันเป็นเส้นทางคมนาคม
o คอมพิวเตอร์ หมายถึง อุปกรณ์ทำหน้าที่ประมวลผลสารสนเทศด้วยคำสั่งหรือโปรแกรม
o หมายถึง กลุ่มของอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่นำมาต่อเชื่อมกัน ตั้งแต่ 2 เครื่องไปเพื่อแบ่งปันการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ เช่น เครื่องพิมพ์ ไฟล์ข้อมูล และแลกเปลี่ยนข้อมูล
- เครือข่ายคอมพิวเตอร์ระยะใกล้ local area network
o เครือข่ายที่เชื่อมต่อขนาดเล็กในพื้นที่ไม่ใหญ่มากนัก เช่น ภายในห้อง สำนักงาน หรือภายในอาคาร
- เครือข่ายคอมพิวเตอร์ระยะไกล wide area network
o เป็นการเชื่อมต่อเครือข่ายที่มีขนาดใหญ่กว่า man เช่น การเชื่อต่อระดับจังหวัดกับจังหวัดหรือระหว่างประเทศ
- เครือข่าย metropolitan wide area network
o เป็นเครือข่ายเชื่อมต่อเครือข่ายที่มีขนาดใหญ่กว่า lan เช่นการเชื่อมต่อระหว่างองค์กรในอำเภอหรือจังหวัด...
ประโยชน์ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ (เคยพูดไปแล้ว)
- เกิดการใช้ทรัพยากรหรืออุปกรณ์คอมพิวเตอร์ร่วมกัน
- มีกา
วิชา 301 คอมพิวเตอร์เพื่อการรายงานข่าว (คาบที่7)
วันที่ 23 กรกฎาคม 2554
วันนี้พูดถึงอินเตอร์เน็ต เครื่องมือการใช้งานทางอินเตอร์เน็ต เช่น ทวิเตอร์ เฟชบุ๊ค
อาจารย์แนะนำโปรแกรมฝากรูป/และตัดต่อแบบง่าย โปรแกรม picaza
อินเตอร์เน็ต คืออะไร
จุดเร็วตนของอินเตอร์เน็ต เป็นเรื่องความมั่นคงทางด้านความปลอดภัย และการทหาร
- อินเตอร์เน็ต มาจากคำว่า inter connection next work
- เป็นเรื่องของเครือข่ายที่ต่อกันเยอะๆ เชื่อมโยงกัน โดยมีการวางเป็นระบบ
- ลักษณะเครือข่าย เป็นลักษณะเครือข่ายใยแมงมุม เชื่อมต่อกันที่ครอบคลุมทั่วโลก สื่อสารกันได้หลายเส้นทางโดยไม่มีกำหนดตายตัว และไม่จำเป็นต้องไปตามเส้นทางโดยตรง อาจผ่านจุดอื่นหรือเลือกไปเส้นทางอื่นได้หลายเส้นทาง
- คอมพิวเตอร์เกิดช่วงสงครามเย็น เรื่องการทหาร และความเป็นไปได้ที่จะถูกโจมตีอาวุธ ปรมาณูหรือนิวเคลียร์
- เกิดโครงการพาเน็ต สังกัดกระทรวงกลาโหม
- จัดตั้งหน่วยวิจัยขั้นสูงของอเมริกา (appa) ตั้งมา จะทำอย่างไรให้คอมพิวเตอร์ทำให้เกิดเชื่อมโยงและส่งข้อมูลอัตโนมัติ (ในกรณีเครือถูกทำลายหรือเกิดความเสียหาย หรือข่ายที่เหลือทำงานได้ คือ มีเครื่องสำรองทำงานแทน)
- จดเริ่มต้นทำระบบในมหาวิทยาลัยก่อน ปัญหาต่อนั้น คือคอมทุกตัวต้องทำงานของระบบร่วมกันทั้งหมดหากตัวใดตัวหนึ่งหยุดทำงานลงไป ตัวอื่นก็ทำงานไม่ได้
- เริ่มสร้างตัวมาตรฐานกลางโปรโตคอล สื่อสารขึ้นเป็นแบบเดียวทั่งหมดและทำให้เครื่องข่ายเติบโตและขยายอย่างรวดเร็ว 1983 คอมพิวเตอร์ทุกตัวภายใน arpa net ใช้มาตรฐานเดียวกัน คือ tcp/ip
- เอกชนอยากใช้ ทำให้ระบบคอมพิวเตอร์ แยกเป็น 2 เน็ตเวิร์ก คือ milinet และarpa net
- เกิดหน่วยงาน nsf `
- เกิดหน่วยงาน commercial internet exchange (cix) ทางพาณิชย์ขึ้น เชื่อมโยงไปยังบุคคลอื่น
- แนวคิดอินเตอร์เน็ตพัฒนาจาก NCP (network control protocol) และ TCP/IP ล่าสุดเรียก เป็น IP
- พัฒนาการใหม่มาทดแทน เช่น แพกเกจสวิตชิ่ง เหมือนขนส่งจรวดขนาดใหญ่ แต่ถอดข้อมูลเส่งเป็นชิ้นส่วนเล็กๆ ระบุต้นทาง ปลายทาง ตำแหน่ง เพื่อสะดวกในการประกอบข้อมูลกลับคืน และส่งได้รวดเร็ว (คล้ายๆส่งจดหมาย) การดาว์นโหลด การส่งเมลล์
- ระบบเครือข่ายมีขนาดใหญ่ จึงมีการจัดระบบคลาส และใช้ระบบหมายเลขไอพี แทนเครื่องคอมพิวเตอร์
- ระบบไอพีตัวเลขไม่พอ จึงเกิดระบบ โดเมนเนม โดย พอล มอคคา เพทริส www
- จากการพัฒนาขยายใหญ่ขึ้น ทำให้เกิดระบบพัฒนา เราเตอร์ โดยเป็นการแยกย่อย ไอพีคอมพิวเตอร์ ภายในระบบ
- เกิดระบบ อีเมล์ www แชท
คราวหน้า..เครื่องมือทางอินเตอร์เน็ต
คอมพิวเตอร์เพื่อการายงานข่าว
วิชา คอมพิวเตอร์เพื่อการรายงานข่าว คาบที่ 8
วันที่ 29 กรกฎาคม 2554
การทำงานของ TCP/IP
- Transnsmision control protocol
- TCP มีหน้าที่ตรวจสอบรับส่งข้อมูล ระหว่างคอมพิวเตอร์ ฝ่ายรับและส่งให้ได้รับข้อมูลถูกต้อง ครบถ้วน หากมีบางส่วนของข้อมูล ที่สูญหายไประหว่างทาง ก็จะแจ้งกลับไปให้ต้นทาง ส่งข้อมูลเฉพาะส่วนที่บกพร่องกลับมาใหม่
- Internet protocol
- Ip มีหน้าที่เลือกเส้นทางที่ใช้ รับ- ส่ง ข้อมูล และตรวจทานที่อยู่ของผู้รับ (ip address)
- หมายเลย ไอพี จะเป็นหมายเลขจุดหนึ่งที่มีขนาด 32 บิต หมายเลขชุดนี้ที่จะถูกแบ่งเป็นส่วน ส่วนละ 8 บิต เท่าๆกัน ในการอ้างถึงก็จะแปลงเลขนั้นเป็นเลขฐาน 10เพื่อความสะดวกใหผู้ใช้อ้างถึงได้ง่าย ดั้งนั้นตัวเลขในแต่ละส่วนนี้จะมีค่าตั้งแต่ 0-255 เท่านั้น เช่น 19.10.1.101 เป็นต้น
Domain name system
- การแทนหมายเลขไอพีด้วยชื่อคอมพิวเตอร์ที่ให้บริการนั้น เรียนว่า ระบบโดเมน หรือดีเอ็นเอส
- การจัดชื่อและหมายเลข ไอพีที่ลงในฐานข้อมูลแบบลำดับขั้นในเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่พิเศษเรียนว่าเซิร์ฟเวอร์ชื่อโดเมน
-
com กลุ่มธุรกิจการค้า
edu สถาบันการศึกษา
gov หน่วยงานของรัฐที่ไม่ใช่หน่วยงาน
mil หน่วยงานทหาร
net หน่วยงานกับเครือข่าย
org หน่วยงานไม่หวังผลกำไร
อินเตอร์เน็ตทำงานอย่างไร
เริ่มต้น สมัยก่อน เครือข่ายคอมพิวเตอร์ในมหาวิทยาลัย เรียกว่า เครือข่ายไทยสาร โดยมีจุฬาฯ เป็นแม่ข่าย
เครือมือบนอินเตอร์เน็ต
เครือมือมีมากมาย สำหรับการทำรายงานข่าวมีหลากหลาย
ถ้าแบ่งตามกลุ่ม ได้ดังนี้
1. บริการค้นหาข้อมูล
2. บริการโอนถ่ายข้อมูล
3. บริการมัลติมีเดีย
4. บริการด้านการติดต่อสื่อสาร
5. บริการรับส่งข่าวสารและแสดงความเห็น
- อินเตอร์เน็ตเป็นระบบขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมกว้างขว้างทั่วโลก โดยมีแฟ้มข้อมูลต่างๆมากมายหลายพันแฟ้มบรรจุอยู่ในระบบเพื่อให้ผู้ใช้สามารถสืบค้นข้อมูลได้
พัฒนาการสื่อค้นข้อมูล
- อาร์ดี
- เป็นโปรแกรมที่ช่วยค้นแฟ้มที่ทราบชื่อแต่ไม่ทราบว่าแฟ้มนั้นอยู่ในเครื่องบริการได้ในอินเตอร์เน็ต
- โปรกรมจะสร้างบัตรรายการแฟ้มไว้ในฐานข้อมูลเมื่อต้นการค้นว่าแฟ้มนั้นอยู่ในเครื่องบริการใด ก็เพื่อเรียกใช้ อาร์ดีแล้วพิมพ์ชื่อแฟ้มข้อมูลนั้นที่ต้องการนั้นลงไป อาร์ดีจะตรวจสอบ
- โกเฟอร์
- Veronica เป็นโปรแกรมหนึ่งที่ช่วย
- เวส
- สารานุกรม
- Bbs ระบบข่าวสารที่ผู้ใช้บริการในสังคมอินเตอร์เน็ตมีหลายระบบ เช่น ยูเน็ตนิวส์ ระบบสมาชิกแจ้งข่าวหลายสมาชิก บอกสมาชิก และให้ข่าวสารที่สม่ำเสมอกับสมาชิก โดยมีข้อปฎิบัติที่สำคัญในการใช้งานร่วมกัน สมัยก่อน คอมช้าข้อปฎิบัติ จึงเน้นให้ สั้น กระชับ ภาษาที่สุภาพ ควรมีหัวข้อเดียวต่อเรื่องฯลฯ
- Search engines เป็นเครื่องมือช่วยค้นหารข้อมูลในระบบอินเตอร์เน็ตที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบัน เช่น google
คอมพิวเตอร์เพื่อการรายงานข่าว คาบที่ 9
วันที่ 9 กันยายน 2554
การเขียนเรื่องถ้าลอยๆ ไม่มีน้ำหนักพอ โดยเฉพาะงานเขียนบทความ หรือ ข่าวเชิงเศรษฐกิจ คือต้องมีข้อมูลไม่อย่างนั้นข้อมูลจะลอยๆ ไม่มีเหตุผล
คราวหน้า พรบ. คอมพิวเตอร์มีผลอย่างไรของการทำข่าว
เราต้องบอกที่มา
1. เขียนข่าวได้ดีขึ้น
2. ระมัดระวังมากขึ้น
เราต้องแตกประเด็น เช่น พรบ.เขียนข้อมูลต่างๆ ในกฎหมายมีการระบุให้ผู้ประกอบการณ์ด้านอินเตอร์เน็ตต้องเก็บข้อมูลเอาไว้ ทุกครั้งเป็นเวลา 6 เดือน ถึง 1 ปี อย่างกรณีเราค้นข่าว เราก็จะเจอข้อมูล ในการค้นภายในกำหนด
เหตุผล เช่นการอภิปราย
การวิเคราะห์ข้อมูล
การหาข้อมูลเพื่อการเขียนข่าว
1. โปรแกรมสเปรดชีต คือ
- โปรแกรมประเภทสเปรดชีต (spreadsheet) หรือตารางคำนวณ อิเล็กทรอนิกส์เป็นโปรแกรมที่ใช้เก็บข้อมูลในลักษณะต่างๆ ส่วนใหญ่นิยมเก็บ ข้อมูลตัวเลข ที่เกี่ยวข้องกับการคำนวณเพื่อใช้วิเคราะห์
- แผ่นตารางทำการ หรือ สเปรดชีต (อังกฤษ: spreadsheet) เป็นลักษณะข้อมูลที่มีการจัดเรียงในลักษณะตารางสี่เหลี่ยม ที่ใช้ในการคำนวณเป็นหลักและบางครั้งใช้ในการเก็บข้อมูล บางคนเรียกโปรแกรมนี้ว่า กระดาษทดเลขอิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากตัวโปรแกรมจะมีความสามารถในการคำนวณทางคณิตศาสตร์มาก โปรแกรมประเภทนี้รุ่นแรกๆ มีชื่อว่า วิสิแคล (VisiCalc) ต่อมาก็มีการพัฒนาให้ดีขึ้นมาเป็น ซุปเปอร์แคล (SuperCalc) ต่อมาได้มีการพัฒนาจนเป็นที่นิยมแพร่หลายมากคือ โลตัส 1-2-3 จนไมโครซอฟเห็นถึงความสามารถของโปรแกรมประเภทนี้จึงพัฒนาของตนเองขึ้นเป็น ไมโครซอฟท์ เอ็กเซล
โปรแกรมประเภทนี้จะมีการแบ่งเป็นช่องๆ เรียกว่า "เซล"(cell) โดยจะมีการระบุตำแหน่งของเซลเป็นแนวแถว ตั้ง(column) และแถวนอน (row)คือจะเรียกแถวตั้งเป็นตัวอักษร และแถวนอนเป็นตัวเลข เช่น A1 หมายถึงแถวตั้งที่ 1 และแถวนอนที่ 1 สำหรับไมโครซอฟท์ เอ็กเซลได้เพิ่มการเรียกให้ง่ายขึ้นโดยใช้เป็น R1C1 ได้ด้วย
โปรแกรมประเภทนี้ในยุคแรกๆ เมื่อต้องการใช้ฟังก์ชันเช่น File-> save ต้องมีการกดข้อความเข้าไปตามที่ต้องการ แต่พอมาเป็นโลตัส ก็สามารถกดตัวแทนได้เป็น F แทนคำว่า File และ S แทนคำว่า Save ในยุคของไมโครซอฟท์ เอ็กเซลโปรแกรมได้มีการพัฒนาอย่างมาก สามารถใช้คำนวณสูตรยากๆ ทางคณิตศาสตร์ สถิติ สร้างกราฟต่างๆ ใช้กับฐานข้อมูล (Database) เปิดไฟล์ข้อมูลประเภทต่างๆที่ไม่ใช่ .xls หรือแทรกรูปภาพบนตารางได้ สำหรับรายการที่เยี่ยมมากที่ไมโครซอฟเอ็กเซลมีก็คือ ไพว็อทเทเบิ้ล (Pivot Table)
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%81%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3
- การพัฒนาโปรแกรมจึงพัฒนาเป็น เอ็กซ์เซล
- ลักษณะของ เอ็กซเซล มีส่วนสำคัญ 2 อย่าง คือ แถว และคอลัมน์
- ส่วนมากใช้ในงานข่าวทางธุรกิจ การนำเสนอกราฟ เช่น กราฟวงกลม
- กราฟแนวตั้ง หรือข้อมูลเปรียบเทียบให้เห็นความต่าง
- กราฟเส้น ที่แสดงค่าข้อมูลและเห็นแนวโน้ม
- การจัดเก็บข้อมูล ที่เป็นตัวเลข เช่น ยอดสรุปรวม อัตราส่วน หรือทางสถิติ
- ฐานข้อมูลในรูปแบบรายการข้อมูล
- ข้อมูลแถว อธิบายบอกรายละเอียด
- ข้อมูลแต่ละคอลัมน์ในสิสต์เรียกว่า ฟีลด์ หมายถึงข้อมูลแต่ละเรื่อง
- การใช้ในงานข่าว
- 1. การจัดเก็บข้อมูล
- 2. วิเคราะห์ข้อมูล
- 3. วิเคราะห์ข้อมูลด้วยกราฟ
พรบ.ข่าวสารข้อมูล และ พรบ.คอมพิวเตอร์
ข่าวสารฯ เป็นเรื่องการเข้าถึงข้อมูล เราจะเข้าถึงอย่างไร เขาออกมาเพื่อ เข้าถึงข้อมูลราชการโดยเฉพาะ เป็นเรื่องเสรีภาพ ทุกคนมีเสรีภาพ รวมถึงสื่อมวลชน กฎหมายกำหนดเสรีภาพสื่อมวลชน
แนวคิดเรื่องเสรีภาพในไทย 2475 ถึง รธน.16 ฉบับ
รธน.2540 เน้นหลักการเสรีนิยม ทั้งการเมือง ทางเศรษฐกิจ ทางสังคม เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมมากที่สุด ให้สิทธิเสรีภาพมากที่สุด โดยเฉพาะการสื่อสารมวลชน จน เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมาย ใน รธน. ม. 39 40
สิทธิและเสรีภาพของสื่อมวลชน
- คุ้มครองเสรีภาพของผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน
- สิทธิรับข้อมูลข่าวสารสารสาธารณะ
- สิทธิจะรับข้อมูล คำชี้แจง และเหตุผลจากรัฐ ก่อนเริ่มโครงการ
- ขอบข่ายงานสารสนเทศที่ทั่วถึงและเท่าเทียม
คอมพิวเตอร์เพื่อการรายงานข่าว คาบที่ 10
วันที่ 16 กันยายน 2554
พรบ.ข้อมูลข่าวสาร
ความเป็นมา
- แนวความคิดของกลุ่มที่ปรึกษา พล.อ. ชาติชาย ชุณหะวัณ (2532-34) เกิด โครงการของรัฐประชาชนไม่รู้ รู้เฉพาะในวงราชการเท่านั้น เกิดกว้านซื้อที่ดิน เพื่อเกร็งกำไร ตอนเกิด พฤษฎาทมิษ เราน่าจะให้ข้อมูลข่าวสารประชาชนรู้ด้วย
- ความสอดคล้องกับแนวคิดเรื่อง “ความโปร่งใส” ของนายอานันท์ ปัญยารชุน (2534-2535) หลังจากยุบ พล.อ.สุจินดา เป็นร่างเดินเรื่องเกี่ยวกับ พรบ. ฉบับนี้ และประกาศก่อนใช้ รธน.2540
- ประกาศในราชกิจนุเบกษา 10 ก.ย.
แนวคิด พรบ. นี้
- เปิดเผยเป็น “หลัก” ปกปิดเป็น “ข้อยกเว้น” เช่น ความมั่นคงของประเทศ เชื้อพระวงศ์
- เปิดโอกาสให้ประชาชนมีโอกาสรับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการดำเนินงานต่างๆของรัฐ
- รับรองสิทธิของประชาชนในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของราชการ (โดยเกี่ยวข้องกับสื่อมวลชนด้วย เราเป็นประชาชนคนหนึ่งเหมือนกัน)
หน่วยงานรัฐที่อยู่ภายใต้กฎหมายสามารถดูข้อมูลได้
- ราชการล่วนกลาง –ภูมิภาค – ท้องถิ่น – รัฐวิสาหกิจ – หน่วยงานที่ขึ้นตรงต่อรัฐสภา – ศาล (คดีที่อยู่ระหว่างอยู่ในระหว่างพิพากษา) – องค์กรวิชาชีพ เช่น สภาทนายความ แพทยสภาฯ ฯลฯ – องค์กรอิสระของรัฐ
ประเภทข้อมูลที่เปิดเผยได้
- ข้อมูลข่าวสารที่ตีพิมพ์ในราชกิจจานุเบกษา (ม.7) คือการมีผลทางกฎหมาย หรือ จะมีผลทางฏกหมายเมื่อไหร่ เพื่อให้คนมาคัดค้าน
- ข้อมูลข่าวสารที่ต้องจัดไว้เพื่อประชาชนเข้ามาตรวจดูได้ด้วยตนเอง (ม.9) ส่วนมากตามเว็บไซต์ ต้องเอาข้อมูลขึ้นมาลงบนเว็บ
- ข้อมูลที่เปิดเผยตามที่เราขอไปมีคำขอเฉพาะราย คือ เราอยากดูข้อมูลของเรา เช่นขอดูกระดาษคำตอบ ที่เราสอบ แต่ดูได้เฉพาะราย
- ข้อมูลข่าวสารที่เป็นเอกสารทางประวัติศาสตร์ โดยหอจดหมายเหตุแห่งชาติ (ม.26)
ข้อมูลของรัฐที่อาจปฎิเสธได้
- ส่งผลกระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
- ก่อความเสียหายแก่ความมั่นคงของประเทศ
- ทำให้กฎหมายเสื่อมประสิทธิภาพ
- ความเห็นหรือข้อเสนอแนะเป็นการภายในของหน่วยงาน (ถือว่าเป็นความคิดหรือคำสั่ง เช่น ให้รีบดำเนินการโดยด่วน คำสั่งลับสุดยอด)
- ก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต หรือความปลอดภัยของบุคคล (ข้อมูลทางการแพทย์ เช่น เป็นเอดส์)
-
ขั้นตอนการเข้าถึงข้อมูล
- ดูจากราชกิจจานุเบกษา
- ตรวจสอบจากข้อมูลที่หน่วยงานเขาจัดแสดงไว้ เช่น บอร์ด หรือเว็บไซต์
- เขียนข้อมูลขอจากหน่วยงาน เช่น เอกสารเสนอไม่ครบ จะมีแบบให้
- หากถูกปฎิเสธใ ห้ขอทราบหตุผลของการปฎิเสธ ( การส่งข้อมูลข่าวสาร มีไอพีแอสเดรส ต้องเก็บไว้อย่างน้อย 6 เดือน)
- ทำหนังสือร้องเรียน หรืออุทธรณ์ไปยังสำนักงานข้อมูลข่าวสาร (หากไม่เปิดเผยข้อมูล)
- รอผลการพิจารณาของกรรมการวินิจฉัยเปิดเผยข้อมูล
- นำผลวินิจฉัยไปยื่นขอข้อมูล หากยังถูกปฎิเสธ ให้ฟ้องศาลปกครอง
-
ประโยชน์ของ พรบ.ข้อมูลข่าวสาร
- ทำให้หน่วยงานราชการตื่นตัวในการจัดเก็บข้อมูลข่าวสาร
- เป็นเครื่องมือประชาชนและสื่อมวลชนในการตรวจสอบการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล
- ลดปัญหาทุจริตคอรัปชั่น
- ทำให้ประชาชนตระหนักถึง “สิทธิได้รู้”ของตนเอง
ตย. ผู้ปกครองขอเปิดเผยคะแนนสอบ
ต.ย. ญาติวีระชนขอเปิดเผยข้อเท็จจริง ปี 35
ปัญหาอุปสรรค
- หน่วยงานราชการไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย (ทัศนคติของข้าราชการ)
- ไม่ยอมปฎิบัติตาม ม.7 9
- ดึงเรื่องไม่อยมปฎิบัตตาม ม. 11 (ในเวลาอันควร)
- ตอบปฎิเสธ ม 15 (โดยไม่สมเหตุผล)
ข้อสอบ มี 6 ข้อ
โดย คนที่ส่งงานส่งงานทำ ข้อ 1- 4 คนไม่ส่งงาน ทำ 1-6 ข้อ
ถ้ามีคนทำ 6 ข้อ นับจากตรงนั้นเลย แม้จะส่งงาน เนื้อหาข้อสอบ คร่าวๆ
๑. เนื้อหา อินเตอร์เน็ต
๒. เรื่องเกี่ยวกับ search engine
๓. excel
๔. อุปกรณ์รุ่นใหม่ๆ เช่น tablet เอาไปทำอะไรได้บ้าง ให้แสดงความคิดเห็น จะเอามาทำข่าวได้อย่างไร
ข้อสอบจะเป็นแนวโอเพ่น
๕ พรบ. ข่าวสารข้อมูล
๖ พรบ. คอมพิวเตอร์
ตย. แนวข้อสอบ ความแตกต่าง ระว่าง yahoo กับ google อย่างไร คือบรรยายลักษณะของมันก่อน ทั้งสองอัน ความแตกต่างอย่างไร ที่เราเขียนมา จัดระเบียบ เช่น yahoo ประเภท ต่างจาก google เช่น เรื่องของ keyword หรือ หน้าตา หรือ ความเร็ว หรือ ลูกเล่น
รวบรวมโดย อาณาจักรโกวิทย์
วันศุกร์ ที่ 17 มิถุนายน คาบที่3
เทคโนโลยี สารสนเทศ (2)
เกริ่นนำเข้าเรื่อง ประเด็นอาจารย์พูดถึง เทคโนโลยีมือถือ ประสิทธิภาพ การรองรับ
เทคโนโลยีสารสนเทศ
เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ ช่วยรายงานการจัดเก็บข้อมูล บันทึก และประมวลข้อมูลให้รวดเร็ว และถูกต้อง ตัวอย่าง ประวัติคอมพิวเตอร์ ความรู้รอบตัว IBM เพิ่งฉลอง 100 ปี) การทำงาน เช่น ตู้ ATM ธนาคาร จะมี main board ขนาดใหญ่ประมวลข้อมูล
เทคโนโลยีเทคโนคมนาคม
ช่วยส่งผ่านข้อมูลที่ถูกประมวลผลตามสถานีต่างๆ ตัวอย่าง การเปลี่ยนระบบ analogue จะเปลี่ยนเป็นระบบ digital ระบบ คอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์
อุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์ ที่สามารถใส่โปรแกรม (software) สั่งงานให้รับทราบข้อมูล ประมวลข้อมูล เพื่อให้ได้สารสนเทศ ที่เป็นประโยชน์ และเก็บสารสนเทศนั้นไว้ใช้งาน
ภาษาคอมพิวเตอร์ ใช้ 0 และ 1 เป็นระบบประมวลผล
ประโยชน์คอมพิวเตอร์ทางตรง
ความรวดเร็ว (speed
ความน่าเชื่อถือ reliability
ความสามารถในการจัดเก็บ storage capability
ประโยชน์ทางอ้อม
เพิ่มประสิทธิผล+ประสิทธิภาพ : เร็วขึ้นและดีขึ้น
ช่วยการตัดสินใจ
ลดต้นทุน
การทำงานของคอมพิวเตอร์
(ภาพ)
คอมพิวเตอร์ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ
1.Hardware
2.Software
1.Hardware
Input devices
Processor
Output devices
Storage
Communication
Input : อุปกรณ์ที่ใช้เครื่องมือสำหรับเก็บรวบรวมข้อมูลและนำข้อมูลเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์โดยแปลงให้เป็นสัญญาณ อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นรูปแบบที่คอมพิวเตอร์เข้าใจและเหมาะสมกับการประมวลผล
Input Devices :
อุปกรณ์นำเข้าจึงเป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่รับข้อมูลทั้งตัวเลข ภาพ เสียง และสัญลักษณ์ต่างๆ แล้วแปลงเป็นสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ที่คอมพิวเตอร์เข้าใจได้
Input โดยตรง
อุปกรณ์ที่รับข้อมูลจากผู้ใช้โดยตรงและเห็นผลจากการทำงานที่ได้ทันทีจากหน้าจอ
คีย์บอร์ด
เมาส์
ปากกาแสง
จอสัมผัส
ไมโครโฟน
Input : จากสื่อบันทึกข้อมูล
เครื่องอ่านรหัสแท่ง
เครื่องกราดภาพหรือสแกนเนอร์
เครื่องอ่านซีดี
กล้องดิจิตอล
คอมพิวเตอร์ : Processor + memory
Processor
- เป็นตัวที่ใช้ประมวลผล บางครั้งเรียก central Processing unit (cpu)
เป็นศูนย์กลางของกิจกรรมในคอมพิวเตอร์ ประกอบไปด้วยวงจรอิเล็กทรอนิกส์
ทำหน้าที่ในการแปลและทำงานตามคำสั่งโปรแกรม
สื่อสารกับ input และ storage devices
แปลงข้อมูลให้เป็นสารสนเทศ
memory
RAM : ใช้ในการเก็บข้อมูลชั่วคราว หลังจากที่ถูกดึงข้อมูลจาก input device ก่อนที่ข้อมูลจะถูกประมวลผลและหลังจากที่ประมวลผลและก่อนที่จะปล่อยไปยัง input device
ข้อมูลในหน่วยความจำหาย ถ้าไม่มีไฟฟ้า หรือโปรแกรมถูกปิด
คอมพิวเตอร์ : output
Output : ผลลัพธ์จากการประมวลผลโดย CPU รูปแบบทั่วไปของ output เช่น ข้อความ ตัวเลข รูปภาพ เสียง
Screen (monitor) สามารถแสดงข้อความ ตัวเลข รูปภาพ หรือแม้แต่ วิดีโอ ในแบบสี
Printer สร้างรายงานที่ถูกพิมพ์ตามที่โปรแกรมสั่ง
คอมพิวเตอร์ : storage
Storage : การเก็บข้อมูลแบบถาวร แยกต่างจากหน่วยความจำ
จานแม่เหล็ก
จานแสง เช่น ดีวีดี ซีดี
เทปแม่เหล็ก เช่น ระบบคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ คล้ายเทปคลาส ทอมไดร์
คอมพิวเตอร์ : peripheral
Peripheral ซ อุปกรณ์ต่อพ่วงอื่น อาจจะ input output และstorage device เช่น web-cam, flash device เป็นต้น
Netwoeking : ระบบที่ใช้ประกอบการสื่อสารเพื่อการติดต่อกับคอมพิวเตอร์และทรัพยากร
- local area network
- modem
เรียนคาบต่อไป :
คอมพิวเตอร์ : ประเภท
วิชา คอมพิวเตอร์เพื่อการรายงานข่าว JR 301
วันศุกร์ ที่ 24 มิถุนายน คาบที่ 4
คอมพิวเตอร์ : ประเภท
คอมพิวเตอร์สาวนบุคคล (personal computer)
โน๊ตบุ๊กคอมพิวเตอร์ notebook computer
คอมพิวเตอร์พกพา
Midrange
Mainframes
Supercomputer (ความรู้รอบตัวจีนผลิตเครื่องความเร็วที่สุดที่ผ่านมา)
คอมพิวเตอร์สาวนบุคคล (personal computer)
(ภาพ)
บางครั้งอาจเรียกที่มีชื่อแตกต่างกัน เช่น Desktop computer , PCs, microcomputer หรือ home computer
แบ่งได้ 4 ประเภท (เรียงตามคุณภาพของเครื่องคอม)
Low-end computer
Fully-powered personal computer (ปัจจุบันมีถึง Co 4 แล้ว)
Workstations = ส่วนมากใช้ในงาน สถาปัตยกรรม 3D, งาน animation คอมพิวเตอร์ต่อพ่วงหลายๆตัว
Network computer หรือ thin client เอาไปต่อกับเครื่อง ไม่มี harddisk (ปัจจุบันไม่มีแล้ว
โน๊ตบุ๊กคอมพิวเตอร์ notebook computer
เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็ก และน้ำหนักเบา
ความสามารถเหมือรกับ Desktop computer
มี CPU และ หน่วยความจำเหมือนกัน
มี harddisk และ disk-drive หรือ CD-
คอมพิวเตอร์ : handheld computer
personal digital assistant(PDA)
เก็บตารางนัดหมาย,รายชื่อ เป็นต้น
รับข้อมูลเข้าด้วย stylus บนจอ touch screen(ไม่มีแล้ว)
pocket pc
มีความสามารถเหมือน PDA โดยเพิ่มความสามรถในการรันโปรแกรมย่อขนาดลงอย่างเช่น word excel ( ตัวอย่าง ของ ร้าน mK
คอมพิวเตอร์: Handheld computer
tablet computer : คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่มีฟังชั่นการสัมผัสในการสั่งงานได้
คอมพิวเตอร์ : midrange computers
ถูกออกแบบสำหรับผู้ใช้คอมพิวเตอร์หลายๆคนเพื่อรองรับความต้องการสำหรับองค์กรขนาดกลางที่ต้องใช้ประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการทำงานสูง
มีผู้ใช้หลักร้อย หรือหลักพัน เข้ามาติดต่อ
ใช้สำหรับดูแลสินค้าคงคลัง การสั่งซื้อสินค้าและระบบงานอื่นที่ใช้ในบริษัท
คอมพิวเตอร์ : mainframes ( เช่น พวกธนาคาร ภาครัฐ เช่นสำนักงานสถิติแห่งชาติ ระบบจองตั๋วเครื่องบิน ระบบส่งจดหมายตามบ้าน(บิลค่าไฟ น้ำ โทรศัพท์) E-mail servers
คอมพิวเตอร์ที่มีขนาดใหญ่และมีความสามารถสูง
ความสามารถประมวลผลคำสั่งได้เป็นพันล้านคำสั่งต่อวินาที
สามรถจัดการเก็บข้อมูลได้หลายพันล้านตัวอักษร
คอมพิวเตอร์ : Supercomputers
สามารถประมวลผลคำสั่งได้เป็นล้านๆคำสั่งต่อวินาที
ถูกใช้สำหรับงานที่มีความซับซ้อนสูง ที่ต้องการรวบรวมและประมวลผลข้อมูลจำนวนมาก
เช่น การพยากรณอากาศ งานวิจัยด้านอาวุธ งาน super effects
คาบหน้าเรียนเรื่องอินเตอร์เน็ต การสืบค้นและการทำงานรายงานข่าวทางอินเตอร์เน็ต
วิชา 301 คอมพิวเตอร์เพื่อการายงานข่าว
วันที่ 1 กรกฎาคม 2554
ซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์(Software computer)
คือ ชุดคำสั่งหรือโปรแกรมที่เป็นลำดับขั้นตอนที่ใช้สั่งให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานและควบคุมการทำงานของส่วนประกอบต่างๆของฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์
ประเภทซอฟต์แวร์
ซอฟต์แวร์ระบบ (System Software)
- โปรแกรมที่สั่งการให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานต่างๆ ตามที่ผู้ใช้ต้องการ เช่นระบบปฏิบัติการ windows
ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Application software)
- ซอฟต์แวร์ที่พัฒนาขึ้นเพื่อใช้งานด้านต่างๆ ตามความต้องการ
ระบบปฏิบัติการ (Operation system)
- โปรแกรมที่ทำหน้าที่ควบคุมและจัดการเกี่ยวกับการปฏิบัติการพื้นฐานของเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อให้บริการซอฟต์แวร์ประยุกต์ในการรับส่งปละจัดเก็บข้อมูลกับฮาร์ดแวร์
หน้าที่
- บูด (booting)
- จัดการซีพียู (cpu management)
- จัดการแฟ้มข้อมูล file management
- จัดการงาน (task management)
- ฟอร์แมต (formatting)
ประเภทของ OS
- DOS : disk operating System :
1975 บิล เกตส์ พอล อัลเลน ก่อตั้ง ไมโครซอฟท์ และได้นำเอาภาษาเบสิกที่พัฒนาขึ้นเองออกมาวางตลาด และให้ชื่อว่า ไมโครซอฟท์เบสิก ภาษาคอมพิวเตอร์นี้ได้กลายเป็นพื้นฐานให้แก่ธุรกิจลิขสิทธิ์ของซอฟท์แวร์ ซึ่งถูกผนวก(มักใช้ในรูปแบบของรอม) เข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ในบ้านและเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลส่วนใหญ่ในช่วง คริสต์ทศวรรษที่ 70 และ 80
1976 บิล เกตส์ ได้เขียนจดหมายเปิดผลึกถึงผู้นิยมงานอดิเรกซึ่งสร้างความโกรธเคืองแก่ผู้นิยมเล่นคอมพิวเตอร์เป็นงานอย่างมาก โดยเขาประกาศว่าธุรกิจคอมพิวเตอร์ซอฟท์แวร์มีตัวตนในตลาดการค้า และยังบอกว่าไม่ควรทำสำเนาซอฟต์แวร์แจกจ่ายกันโดยไม่ได้รับอนุญาตเจ้าของ
วินโดวส์ windows :
- เป็นระบบปฏิบัติการที่พัฒนาโดยบริษัทไมโครซอฟท์
- เปิดตัวเมื่อปี พ.ศ. 2528 (ค.ศ.1985) และครองความเป็นที่นิยมในตลาดคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของการใช้งานทั่วโลก (แรกผลิตมาจากไต้หวัน)
ยูนิกซ์ Unix
- เป็นระบบ)ปฏิบัติการคอมพิวเตอร์แบหลายงาน หลายผู้ใช้ ที่เริ่มพัฒนาโดยกลุ่มพนักงานของห้องปฏิบัติการ ATT and T (ปัจจุบันไม่มีแล้ว)
ปัจจุบันคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ จะใช้งานวิศวกร..งานสำนักงานที่ใช้พร้อมกันเยอะๆ
ไม่มีปัญหา ไวรัส และ แฮกเกอร์ข้อมูล
แมคโอเอส Mac Os
- ระบบปฏิบัติการสำหรับคอมพิวเตอร์แมคอินทอชโดยทั้งคู่เป็นผลิตภัณฑ์ บริษัท แอปเปิล
- แมคโอแอลเป็นระบบปฏิบัติการที่มีส่วนต่อประสานงานกับผู้ใช้แบบกราฟฟิค(GUI)ที่ประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์
- แรกสุดแมคโอเอส ถูกเรียก ซิเต็ม system และเปลี่ยนมาใช้คำว่าแมคโอเอส ครั้งแรกในแมคโอเอส ครั้งแรกในแมคโอเอส 7.6 (ค.ศ.1996) เนื่องจากเครื่องแมคเลียนแบบที่แพร่หลายในยุคนั้น ทำให้แอบเปิลต้องการแสดงว่าแมคยังเป็นลิขสิทธิ์ของตนอยู่ (สังเกตว่า แมค ไม่มีเครื่องประกอบเพราะต้องการรักษาลิขสิทธิ์ของตนเองอยู่)
โปรแกรมอรรถประโยชน์
Program
- โปรแกรมที่ทำหน้าที่สนับสนุนส่งเสริมและขยายหน้าที่หรือการบริการศึกษาที่นอกเนื่องจากการใช้บริการของระบบปฏิบัติการ
o สำรองข้อมูล data backup
o กู้ข้อมูล data Recover
o ป้องกันไวรัส virus protection
o บีบอัดข้อมูล
o จัดระเบียบข้อมูล ฯลฯ
เทคโนโลยี
โทรคมนาคม
- พัฒนาเพื่อตอบสนองความต้องการของมนุษย์ด้านการสื่อสารทางไกล
- โทรเลข
- โทรศัพท์
- สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ( international telecommunication union) ให้ความหมายโทรคมนาคมขึ้นมา
- โทรคมนาคม หมายถึง การส่งสัญญาณเสียง ภาพ ผ่านสื่อสัญญาณทางสายหรือไร้สายด้วยระบบแม่เหล็กไฟฟ้า อาจเป็นไฟฟ้า แลงหรือวิธีอื่นๆ
องค์ประกอบพื้นฐานคมนาคม
- ผู้ส่ง
- สารสนเทศ
- เครื่องส่ง
- สื่อสัญญาณ
- เครื่องรับ
สัญญาณไฟฟ้าโทรคมนาคม
- เครื่องรับสัญญาณ มันจะทำหน้าที่แปลงสภาพสารสนเทศเป็นสัญญาณคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
o ลักษณะคลื่นต่อเนื่อง
การเปลี่ยนแปลงตามแบบค่อยเป็นค่อยไปเรียก อนาล็อก
o ลักษณะคลื่นไม่ต่อเนื่อง
เป็นภาวะไฟฟ้าที่มีสัญญาณไฟฟ้าและไม่มีไฟฟ้า สัญญาณไฟฟ้าเรียด ระบบสองสภาวะ binary system หรือสัญญาณดิจิตอล
- การบรรจบกันทางดิจิตอล
- เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หมายถึง เทคโนโลยีที่มนุษย์ใช้ในการรับส่งประมวลผล เก็บรักษา ผลิตและเข้าถึงสารสนเทศ อาจเป็นเสียง อักขระ ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหวผ่านสื่อทั้งทางระบบสายและไร้สาย
- โทรศัพท์ประจำที่
- โทรศัพท์เคลื่อนที่
สรุปการสื่อสารข้อมูล
- การรับส่งข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์กับเทอมินัล ระหว่างคอมพิวเตอร์กับคอมพิวเตอร์ หรือระหว่างอุปกรณ์โทรคมนาคมกับอุปกรณ์โทรคมนาคม เช่น โทรสาร โมเด็ม
องค์ประกอบดาต้าเทอร์มินัล (Data terminal Equipment)
เป็นอุปกรณ์ต้นทางและปลายทางที่นำหน้าที่ส่งข้อมูล
- เมอร์มินัลที่สมรรถนะต่ำเรียกว่า ดัมป์เทอร์มินัล
- เทอร์มินัลที่สรรมรรถนะสูง เรียกว่า คอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์เพื่อการรายงานข่าว คาบที่ 6
8 มิถุนายน 2554
- องค์ประกอบดาต้าเทอร์มินัล (Data terminal Equipment)
เป็นอุปกรณ์ต้นทางและปลายทางที่นำหน้าที่ส่งข้อมูล
- เมอร์มินัลที่สมรรถนะต่ำเรียกว่า ดัมป์เทอร์มินัล
(จะไม่มีที่เสียบไดรฟ์เลย)
- เทอร์มินัลที่สรรมรรถนะสูง เรียกว่า คอมพิวเตอร์
- อุปกรณ์ดาต้าคอมมิวนิเคชั่น
- ทำหน้าที่เป็นตัวประสานงานระหว่างอุปกรณ์ดาต้าเทอร์มินัลกับระบบสื่อสัญญาณ
o ทำหน้าที่แปลสัญญาณ
o
- สื่อสัญญาณ ทำหน้าที่เชื่อมต่อข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ดาต้าคอมมิวนิเคชั่น ต้นทางและปลายทาง
- ปัจจัยกำหนดความเร็วการรับ—ส่งข้อมูล
- อุปกรณ์ควบคุมการรับส่งข้อมูล
o อุปกรณ์ดาคาต้าเทอร์มินัล เช่น คอมพิวเตอร์
o อุปกรณ์ดาต้าคอมมิวนิเคชั่น เช่นโมเด็ม
- ระบบสื่อสัญญาณ ทำหน้าที่เป็นตัวนำข้อมูลจากต้นทางไปถึงปลายทาง
- ปริมาณข้อมูล ที่รับ-ส่ง
- เทคโนโลยรการสื่อสาร
- การสื่อสารข้อมูลทางสาย
- เทคโนโลยีโมเด็ม
มาจากคำว่า โมดูเลเตอร์ moduralator แปลว่า การแปลง
หมายถึงการแปลงสัญญาณอนาล็อกเป็นสัญญาณดิจิตอล
- เทคโนโลยีดีแอสแอล (digital subscriber line)
เป็นเทคโนโลยีที่ทำให้ข้อมูลความเร็วสูงสามารถเดินทางมายังบ้านหรือสำนักงานได้ ผ่านคู่สายโทรศัพท์ธรรมดาที่ทำด้วยทองแดง
- เทคโนโลยี ไอเอสดีเอ็น intergrated
o เป็นมาตาฐานของไอทียูที่กำหนดมาตรฐานสำหรับการรับ-ส่งข้อมูล ส่งสัญญาณผ่านทางสายโทรศัพท์หรือสัญญาณอื่นๆ
- เทคโนโลยีเคเบิ้ลโมเด็ม (cable modem)
o เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการรับส่งข้อมูลผ่านอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงของการใช้บริการโทรทัศน์ตามสายเคเบิ้ลทีวี
- คู่สายเช่า – วงจรเช่า (teased line)
o สายโทรศัพท์หรือวงจรที่ให้เช่าสำหรับการใช้ส่วนบุคคลมีความเร็วต่ำจนถึงความเร็วสูง 140 กิกะบิตต่อวินาที (เป็นเทคโนโลยีแรกๆที่นำมาใช้ ปัจจุบันไม่ใช้แล้ว สังเกต แบงค์สมัยก่อนไม่เปิดสาขามาก...ปัจจุบันใช้เทคโนโลยี ดีเอสแอล ตู้ ATM มีทุกที่)
- การสื่อสารไร้สาย (เรียนไปแล้ว
- โทรศัพท์เคลื่อนที่
o เทคโนโลยีจีเอสเอ็ม (global system for mobile : GSM) เจ้าแรก อิเลคสัน
มีความเร็วไม่เกิน 9600 บิตต่อนาที
o เทคโนโลยีจีพีอาร์เอส
o เทคโนโลยีเอ็ดจ ให้ความเร็ว 32 กิโลบิตต่อนาที(ยุโรป)
o เทคโนโลยี ซีดีเอ็มเอ (ฝั่งอเมริกา)
- ระบบไมโครเวฟ (การสื่อสารแห่งประเทศไทยลงทุน ตอนนี้ คือป้องกันเครือข่ายเสีย)
- เทคโนโลยีดาเทียม ระบบดีบีเอส
o เป็นบริการแพร่สัญญาณโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมด้วยความถี่สูงผ่านไมโครเวฟให้แก่สมาชิกโดยตรง ผู้รับจะต้องเป็นผู้ที่อุปกรณ์ถอดรหัสที่ซื้อมาจากบริษัทผู้ให้บริการ
- เทคโนยีคลื่นแสง
o ใช้แสงอินฟราเรดเป็นตัวกลางในการสื่อสาร เช่น ระบบ wireless lan ซึ่งสามารถเคลื่อนย้ายติดตั้ง
- เครือข่ายคอมพิวเตอร์
o เครือข่าย หมายถึงจุดต่อหลายๆ จุดมาเชื่อมต่อกันเป็นเส้นทางคมนาคม
o คอมพิวเตอร์ หมายถึง อุปกรณ์ทำหน้าที่ประมวลผลสารสนเทศด้วยคำสั่งหรือโปรแกรม
o หมายถึง กลุ่มของอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่นำมาต่อเชื่อมกัน ตั้งแต่ 2 เครื่องไปเพื่อแบ่งปันการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ เช่น เครื่องพิมพ์ ไฟล์ข้อมูล และแลกเปลี่ยนข้อมูล
- เครือข่ายคอมพิวเตอร์ระยะใกล้ local area network
o เครือข่ายที่เชื่อมต่อขนาดเล็กในพื้นที่ไม่ใหญ่มากนัก เช่น ภายในห้อง สำนักงาน หรือภายในอาคาร
- เครือข่ายคอมพิวเตอร์ระยะไกล wide area network
o เป็นการเชื่อมต่อเครือข่ายที่มีขนาดใหญ่กว่า man เช่น การเชื่อต่อระดับจังหวัดกับจังหวัดหรือระหว่างประเทศ
- เครือข่าย metropolitan wide area network
o เป็นเครือข่ายเชื่อมต่อเครือข่ายที่มีขนาดใหญ่กว่า lan เช่นการเชื่อมต่อระหว่างองค์กรในอำเภอหรือจังหวัด...
ประโยชน์ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ (เคยพูดไปแล้ว)
- เกิดการใช้ทรัพยากรหรืออุปกรณ์คอมพิวเตอร์ร่วมกัน
- มีกา
วิชา 301 คอมพิวเตอร์เพื่อการรายงานข่าว (คาบที่7)
วันที่ 23 กรกฎาคม 2554
วันนี้พูดถึงอินเตอร์เน็ต เครื่องมือการใช้งานทางอินเตอร์เน็ต เช่น ทวิเตอร์ เฟชบุ๊ค
อาจารย์แนะนำโปรแกรมฝากรูป/และตัดต่อแบบง่าย โปรแกรม picaza
อินเตอร์เน็ต คืออะไร
จุดเร็วตนของอินเตอร์เน็ต เป็นเรื่องความมั่นคงทางด้านความปลอดภัย และการทหาร
- อินเตอร์เน็ต มาจากคำว่า inter connection next work
- เป็นเรื่องของเครือข่ายที่ต่อกันเยอะๆ เชื่อมโยงกัน โดยมีการวางเป็นระบบ
- ลักษณะเครือข่าย เป็นลักษณะเครือข่ายใยแมงมุม เชื่อมต่อกันที่ครอบคลุมทั่วโลก สื่อสารกันได้หลายเส้นทางโดยไม่มีกำหนดตายตัว และไม่จำเป็นต้องไปตามเส้นทางโดยตรง อาจผ่านจุดอื่นหรือเลือกไปเส้นทางอื่นได้หลายเส้นทาง
- คอมพิวเตอร์เกิดช่วงสงครามเย็น เรื่องการทหาร และความเป็นไปได้ที่จะถูกโจมตีอาวุธ ปรมาณูหรือนิวเคลียร์
- เกิดโครงการพาเน็ต สังกัดกระทรวงกลาโหม
- จัดตั้งหน่วยวิจัยขั้นสูงของอเมริกา (appa) ตั้งมา จะทำอย่างไรให้คอมพิวเตอร์ทำให้เกิดเชื่อมโยงและส่งข้อมูลอัตโนมัติ (ในกรณีเครือถูกทำลายหรือเกิดความเสียหาย หรือข่ายที่เหลือทำงานได้ คือ มีเครื่องสำรองทำงานแทน)
- จดเริ่มต้นทำระบบในมหาวิทยาลัยก่อน ปัญหาต่อนั้น คือคอมทุกตัวต้องทำงานของระบบร่วมกันทั้งหมดหากตัวใดตัวหนึ่งหยุดทำงานลงไป ตัวอื่นก็ทำงานไม่ได้
- เริ่มสร้างตัวมาตรฐานกลางโปรโตคอล สื่อสารขึ้นเป็นแบบเดียวทั่งหมดและทำให้เครื่องข่ายเติบโตและขยายอย่างรวดเร็ว 1983 คอมพิวเตอร์ทุกตัวภายใน arpa net ใช้มาตรฐานเดียวกัน คือ tcp/ip
- เอกชนอยากใช้ ทำให้ระบบคอมพิวเตอร์ แยกเป็น 2 เน็ตเวิร์ก คือ milinet และarpa net
- เกิดหน่วยงาน nsf `
- เกิดหน่วยงาน commercial internet exchange (cix) ทางพาณิชย์ขึ้น เชื่อมโยงไปยังบุคคลอื่น
- แนวคิดอินเตอร์เน็ตพัฒนาจาก NCP (network control protocol) และ TCP/IP ล่าสุดเรียก เป็น IP
- พัฒนาการใหม่มาทดแทน เช่น แพกเกจสวิตชิ่ง เหมือนขนส่งจรวดขนาดใหญ่ แต่ถอดข้อมูลเส่งเป็นชิ้นส่วนเล็กๆ ระบุต้นทาง ปลายทาง ตำแหน่ง เพื่อสะดวกในการประกอบข้อมูลกลับคืน และส่งได้รวดเร็ว (คล้ายๆส่งจดหมาย) การดาว์นโหลด การส่งเมลล์
- ระบบเครือข่ายมีขนาดใหญ่ จึงมีการจัดระบบคลาส และใช้ระบบหมายเลขไอพี แทนเครื่องคอมพิวเตอร์
- ระบบไอพีตัวเลขไม่พอ จึงเกิดระบบ โดเมนเนม โดย พอล มอคคา เพทริส www
- จากการพัฒนาขยายใหญ่ขึ้น ทำให้เกิดระบบพัฒนา เราเตอร์ โดยเป็นการแยกย่อย ไอพีคอมพิวเตอร์ ภายในระบบ
- เกิดระบบ อีเมล์ www แชท
คราวหน้า..เครื่องมือทางอินเตอร์เน็ต
คอมพิวเตอร์เพื่อการายงานข่าว
วิชา คอมพิวเตอร์เพื่อการรายงานข่าว คาบที่ 8
วันที่ 29 กรกฎาคม 2554
การทำงานของ TCP/IP
- Transnsmision control protocol
- TCP มีหน้าที่ตรวจสอบรับส่งข้อมูล ระหว่างคอมพิวเตอร์ ฝ่ายรับและส่งให้ได้รับข้อมูลถูกต้อง ครบถ้วน หากมีบางส่วนของข้อมูล ที่สูญหายไประหว่างทาง ก็จะแจ้งกลับไปให้ต้นทาง ส่งข้อมูลเฉพาะส่วนที่บกพร่องกลับมาใหม่
- Internet protocol
- Ip มีหน้าที่เลือกเส้นทางที่ใช้ รับ- ส่ง ข้อมูล และตรวจทานที่อยู่ของผู้รับ (ip address)
- หมายเลย ไอพี จะเป็นหมายเลขจุดหนึ่งที่มีขนาด 32 บิต หมายเลขชุดนี้ที่จะถูกแบ่งเป็นส่วน ส่วนละ 8 บิต เท่าๆกัน ในการอ้างถึงก็จะแปลงเลขนั้นเป็นเลขฐาน 10เพื่อความสะดวกใหผู้ใช้อ้างถึงได้ง่าย ดั้งนั้นตัวเลขในแต่ละส่วนนี้จะมีค่าตั้งแต่ 0-255 เท่านั้น เช่น 19.10.1.101 เป็นต้น
Domain name system
- การแทนหมายเลขไอพีด้วยชื่อคอมพิวเตอร์ที่ให้บริการนั้น เรียนว่า ระบบโดเมน หรือดีเอ็นเอส
- การจัดชื่อและหมายเลข ไอพีที่ลงในฐานข้อมูลแบบลำดับขั้นในเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่พิเศษเรียนว่าเซิร์ฟเวอร์ชื่อโดเมน
-
com กลุ่มธุรกิจการค้า
edu สถาบันการศึกษา
gov หน่วยงานของรัฐที่ไม่ใช่หน่วยงาน
mil หน่วยงานทหาร
net หน่วยงานกับเครือข่าย
org หน่วยงานไม่หวังผลกำไร
อินเตอร์เน็ตทำงานอย่างไร
เริ่มต้น สมัยก่อน เครือข่ายคอมพิวเตอร์ในมหาวิทยาลัย เรียกว่า เครือข่ายไทยสาร โดยมีจุฬาฯ เป็นแม่ข่าย
เครือมือบนอินเตอร์เน็ต
เครือมือมีมากมาย สำหรับการทำรายงานข่าวมีหลากหลาย
ถ้าแบ่งตามกลุ่ม ได้ดังนี้
1. บริการค้นหาข้อมูล
2. บริการโอนถ่ายข้อมูล
3. บริการมัลติมีเดีย
4. บริการด้านการติดต่อสื่อสาร
5. บริการรับส่งข่าวสารและแสดงความเห็น
- อินเตอร์เน็ตเป็นระบบขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมกว้างขว้างทั่วโลก โดยมีแฟ้มข้อมูลต่างๆมากมายหลายพันแฟ้มบรรจุอยู่ในระบบเพื่อให้ผู้ใช้สามารถสืบค้นข้อมูลได้
พัฒนาการสื่อค้นข้อมูล
- อาร์ดี
- เป็นโปรแกรมที่ช่วยค้นแฟ้มที่ทราบชื่อแต่ไม่ทราบว่าแฟ้มนั้นอยู่ในเครื่องบริการได้ในอินเตอร์เน็ต
- โปรกรมจะสร้างบัตรรายการแฟ้มไว้ในฐานข้อมูลเมื่อต้นการค้นว่าแฟ้มนั้นอยู่ในเครื่องบริการใด ก็เพื่อเรียกใช้ อาร์ดีแล้วพิมพ์ชื่อแฟ้มข้อมูลนั้นที่ต้องการนั้นลงไป อาร์ดีจะตรวจสอบ
- โกเฟอร์
- Veronica เป็นโปรแกรมหนึ่งที่ช่วย
- เวส
- สารานุกรม
- Bbs ระบบข่าวสารที่ผู้ใช้บริการในสังคมอินเตอร์เน็ตมีหลายระบบ เช่น ยูเน็ตนิวส์ ระบบสมาชิกแจ้งข่าวหลายสมาชิก บอกสมาชิก และให้ข่าวสารที่สม่ำเสมอกับสมาชิก โดยมีข้อปฎิบัติที่สำคัญในการใช้งานร่วมกัน สมัยก่อน คอมช้าข้อปฎิบัติ จึงเน้นให้ สั้น กระชับ ภาษาที่สุภาพ ควรมีหัวข้อเดียวต่อเรื่องฯลฯ
- Search engines เป็นเครื่องมือช่วยค้นหารข้อมูลในระบบอินเตอร์เน็ตที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบัน เช่น google
คอมพิวเตอร์เพื่อการรายงานข่าว คาบที่ 9
วันที่ 9 กันยายน 2554
การเขียนเรื่องถ้าลอยๆ ไม่มีน้ำหนักพอ โดยเฉพาะงานเขียนบทความ หรือ ข่าวเชิงเศรษฐกิจ คือต้องมีข้อมูลไม่อย่างนั้นข้อมูลจะลอยๆ ไม่มีเหตุผล
คราวหน้า พรบ. คอมพิวเตอร์มีผลอย่างไรของการทำข่าว
เราต้องบอกที่มา
1. เขียนข่าวได้ดีขึ้น
2. ระมัดระวังมากขึ้น
เราต้องแตกประเด็น เช่น พรบ.เขียนข้อมูลต่างๆ ในกฎหมายมีการระบุให้ผู้ประกอบการณ์ด้านอินเตอร์เน็ตต้องเก็บข้อมูลเอาไว้ ทุกครั้งเป็นเวลา 6 เดือน ถึง 1 ปี อย่างกรณีเราค้นข่าว เราก็จะเจอข้อมูล ในการค้นภายในกำหนด
เหตุผล เช่นการอภิปราย
การวิเคราะห์ข้อมูล
การหาข้อมูลเพื่อการเขียนข่าว
1. โปรแกรมสเปรดชีต คือ
- โปรแกรมประเภทสเปรดชีต (spreadsheet) หรือตารางคำนวณ อิเล็กทรอนิกส์เป็นโปรแกรมที่ใช้เก็บข้อมูลในลักษณะต่างๆ ส่วนใหญ่นิยมเก็บ ข้อมูลตัวเลข ที่เกี่ยวข้องกับการคำนวณเพื่อใช้วิเคราะห์
- แผ่นตารางทำการ หรือ สเปรดชีต (อังกฤษ: spreadsheet) เป็นลักษณะข้อมูลที่มีการจัดเรียงในลักษณะตารางสี่เหลี่ยม ที่ใช้ในการคำนวณเป็นหลักและบางครั้งใช้ในการเก็บข้อมูล บางคนเรียกโปรแกรมนี้ว่า กระดาษทดเลขอิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากตัวโปรแกรมจะมีความสามารถในการคำนวณทางคณิตศาสตร์มาก โปรแกรมประเภทนี้รุ่นแรกๆ มีชื่อว่า วิสิแคล (VisiCalc) ต่อมาก็มีการพัฒนาให้ดีขึ้นมาเป็น ซุปเปอร์แคล (SuperCalc) ต่อมาได้มีการพัฒนาจนเป็นที่นิยมแพร่หลายมากคือ โลตัส 1-2-3 จนไมโครซอฟเห็นถึงความสามารถของโปรแกรมประเภทนี้จึงพัฒนาของตนเองขึ้นเป็น ไมโครซอฟท์ เอ็กเซล
โปรแกรมประเภทนี้จะมีการแบ่งเป็นช่องๆ เรียกว่า "เซล"(cell) โดยจะมีการระบุตำแหน่งของเซลเป็นแนวแถว ตั้ง(column) และแถวนอน (row)คือจะเรียกแถวตั้งเป็นตัวอักษร และแถวนอนเป็นตัวเลข เช่น A1 หมายถึงแถวตั้งที่ 1 และแถวนอนที่ 1 สำหรับไมโครซอฟท์ เอ็กเซลได้เพิ่มการเรียกให้ง่ายขึ้นโดยใช้เป็น R1C1 ได้ด้วย
โปรแกรมประเภทนี้ในยุคแรกๆ เมื่อต้องการใช้ฟังก์ชันเช่น File-> save ต้องมีการกดข้อความเข้าไปตามที่ต้องการ แต่พอมาเป็นโลตัส ก็สามารถกดตัวแทนได้เป็น F แทนคำว่า File และ S แทนคำว่า Save ในยุคของไมโครซอฟท์ เอ็กเซลโปรแกรมได้มีการพัฒนาอย่างมาก สามารถใช้คำนวณสูตรยากๆ ทางคณิตศาสตร์ สถิติ สร้างกราฟต่างๆ ใช้กับฐานข้อมูล (Database) เปิดไฟล์ข้อมูลประเภทต่างๆที่ไม่ใช่ .xls หรือแทรกรูปภาพบนตารางได้ สำหรับรายการที่เยี่ยมมากที่ไมโครซอฟเอ็กเซลมีก็คือ ไพว็อทเทเบิ้ล (Pivot Table)
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%81%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3
- การพัฒนาโปรแกรมจึงพัฒนาเป็น เอ็กซ์เซล
- ลักษณะของ เอ็กซเซล มีส่วนสำคัญ 2 อย่าง คือ แถว และคอลัมน์
- ส่วนมากใช้ในงานข่าวทางธุรกิจ การนำเสนอกราฟ เช่น กราฟวงกลม
- กราฟแนวตั้ง หรือข้อมูลเปรียบเทียบให้เห็นความต่าง
- กราฟเส้น ที่แสดงค่าข้อมูลและเห็นแนวโน้ม
- การจัดเก็บข้อมูล ที่เป็นตัวเลข เช่น ยอดสรุปรวม อัตราส่วน หรือทางสถิติ
- ฐานข้อมูลในรูปแบบรายการข้อมูล
- ข้อมูลแถว อธิบายบอกรายละเอียด
- ข้อมูลแต่ละคอลัมน์ในสิสต์เรียกว่า ฟีลด์ หมายถึงข้อมูลแต่ละเรื่อง
- การใช้ในงานข่าว
- 1. การจัดเก็บข้อมูล
- 2. วิเคราะห์ข้อมูล
- 3. วิเคราะห์ข้อมูลด้วยกราฟ
พรบ.ข่าวสารข้อมูล และ พรบ.คอมพิวเตอร์
ข่าวสารฯ เป็นเรื่องการเข้าถึงข้อมูล เราจะเข้าถึงอย่างไร เขาออกมาเพื่อ เข้าถึงข้อมูลราชการโดยเฉพาะ เป็นเรื่องเสรีภาพ ทุกคนมีเสรีภาพ รวมถึงสื่อมวลชน กฎหมายกำหนดเสรีภาพสื่อมวลชน
แนวคิดเรื่องเสรีภาพในไทย 2475 ถึง รธน.16 ฉบับ
รธน.2540 เน้นหลักการเสรีนิยม ทั้งการเมือง ทางเศรษฐกิจ ทางสังคม เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมมากที่สุด ให้สิทธิเสรีภาพมากที่สุด โดยเฉพาะการสื่อสารมวลชน จน เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมาย ใน รธน. ม. 39 40
สิทธิและเสรีภาพของสื่อมวลชน
- คุ้มครองเสรีภาพของผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน
- สิทธิรับข้อมูลข่าวสารสารสาธารณะ
- สิทธิจะรับข้อมูล คำชี้แจง และเหตุผลจากรัฐ ก่อนเริ่มโครงการ
- ขอบข่ายงานสารสนเทศที่ทั่วถึงและเท่าเทียม
คอมพิวเตอร์เพื่อการรายงานข่าว คาบที่ 10
วันที่ 16 กันยายน 2554
พรบ.ข้อมูลข่าวสาร
ความเป็นมา
- แนวความคิดของกลุ่มที่ปรึกษา พล.อ. ชาติชาย ชุณหะวัณ (2532-34) เกิด โครงการของรัฐประชาชนไม่รู้ รู้เฉพาะในวงราชการเท่านั้น เกิดกว้านซื้อที่ดิน เพื่อเกร็งกำไร ตอนเกิด พฤษฎาทมิษ เราน่าจะให้ข้อมูลข่าวสารประชาชนรู้ด้วย
- ความสอดคล้องกับแนวคิดเรื่อง “ความโปร่งใส” ของนายอานันท์ ปัญยารชุน (2534-2535) หลังจากยุบ พล.อ.สุจินดา เป็นร่างเดินเรื่องเกี่ยวกับ พรบ. ฉบับนี้ และประกาศก่อนใช้ รธน.2540
- ประกาศในราชกิจนุเบกษา 10 ก.ย.
แนวคิด พรบ. นี้
- เปิดเผยเป็น “หลัก” ปกปิดเป็น “ข้อยกเว้น” เช่น ความมั่นคงของประเทศ เชื้อพระวงศ์
- เปิดโอกาสให้ประชาชนมีโอกาสรับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการดำเนินงานต่างๆของรัฐ
- รับรองสิทธิของประชาชนในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของราชการ (โดยเกี่ยวข้องกับสื่อมวลชนด้วย เราเป็นประชาชนคนหนึ่งเหมือนกัน)
หน่วยงานรัฐที่อยู่ภายใต้กฎหมายสามารถดูข้อมูลได้
- ราชการล่วนกลาง –ภูมิภาค – ท้องถิ่น – รัฐวิสาหกิจ – หน่วยงานที่ขึ้นตรงต่อรัฐสภา – ศาล (คดีที่อยู่ระหว่างอยู่ในระหว่างพิพากษา) – องค์กรวิชาชีพ เช่น สภาทนายความ แพทยสภาฯ ฯลฯ – องค์กรอิสระของรัฐ
ประเภทข้อมูลที่เปิดเผยได้
- ข้อมูลข่าวสารที่ตีพิมพ์ในราชกิจจานุเบกษา (ม.7) คือการมีผลทางกฎหมาย หรือ จะมีผลทางฏกหมายเมื่อไหร่ เพื่อให้คนมาคัดค้าน
- ข้อมูลข่าวสารที่ต้องจัดไว้เพื่อประชาชนเข้ามาตรวจดูได้ด้วยตนเอง (ม.9) ส่วนมากตามเว็บไซต์ ต้องเอาข้อมูลขึ้นมาลงบนเว็บ
- ข้อมูลที่เปิดเผยตามที่เราขอไปมีคำขอเฉพาะราย คือ เราอยากดูข้อมูลของเรา เช่นขอดูกระดาษคำตอบ ที่เราสอบ แต่ดูได้เฉพาะราย
- ข้อมูลข่าวสารที่เป็นเอกสารทางประวัติศาสตร์ โดยหอจดหมายเหตุแห่งชาติ (ม.26)
ข้อมูลของรัฐที่อาจปฎิเสธได้
- ส่งผลกระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
- ก่อความเสียหายแก่ความมั่นคงของประเทศ
- ทำให้กฎหมายเสื่อมประสิทธิภาพ
- ความเห็นหรือข้อเสนอแนะเป็นการภายในของหน่วยงาน (ถือว่าเป็นความคิดหรือคำสั่ง เช่น ให้รีบดำเนินการโดยด่วน คำสั่งลับสุดยอด)
- ก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต หรือความปลอดภัยของบุคคล (ข้อมูลทางการแพทย์ เช่น เป็นเอดส์)
-
ขั้นตอนการเข้าถึงข้อมูล
- ดูจากราชกิจจานุเบกษา
- ตรวจสอบจากข้อมูลที่หน่วยงานเขาจัดแสดงไว้ เช่น บอร์ด หรือเว็บไซต์
- เขียนข้อมูลขอจากหน่วยงาน เช่น เอกสารเสนอไม่ครบ จะมีแบบให้
- หากถูกปฎิเสธใ ห้ขอทราบหตุผลของการปฎิเสธ ( การส่งข้อมูลข่าวสาร มีไอพีแอสเดรส ต้องเก็บไว้อย่างน้อย 6 เดือน)
- ทำหนังสือร้องเรียน หรืออุทธรณ์ไปยังสำนักงานข้อมูลข่าวสาร (หากไม่เปิดเผยข้อมูล)
- รอผลการพิจารณาของกรรมการวินิจฉัยเปิดเผยข้อมูล
- นำผลวินิจฉัยไปยื่นขอข้อมูล หากยังถูกปฎิเสธ ให้ฟ้องศาลปกครอง
-
ประโยชน์ของ พรบ.ข้อมูลข่าวสาร
- ทำให้หน่วยงานราชการตื่นตัวในการจัดเก็บข้อมูลข่าวสาร
- เป็นเครื่องมือประชาชนและสื่อมวลชนในการตรวจสอบการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล
- ลดปัญหาทุจริตคอรัปชั่น
- ทำให้ประชาชนตระหนักถึง “สิทธิได้รู้”ของตนเอง
ตย. ผู้ปกครองขอเปิดเผยคะแนนสอบ
ต.ย. ญาติวีระชนขอเปิดเผยข้อเท็จจริง ปี 35
ปัญหาอุปสรรค
- หน่วยงานราชการไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย (ทัศนคติของข้าราชการ)
- ไม่ยอมปฎิบัติตาม ม.7 9
- ดึงเรื่องไม่อยมปฎิบัตตาม ม. 11 (ในเวลาอันควร)
- ตอบปฎิเสธ ม 15 (โดยไม่สมเหตุผล)
ข้อสอบ มี 6 ข้อ
โดย คนที่ส่งงานส่งงานทำ ข้อ 1- 4 คนไม่ส่งงาน ทำ 1-6 ข้อ
ถ้ามีคนทำ 6 ข้อ นับจากตรงนั้นเลย แม้จะส่งงาน เนื้อหาข้อสอบ คร่าวๆ
๑. เนื้อหา อินเตอร์เน็ต
๒. เรื่องเกี่ยวกับ search engine
๓. excel
๔. อุปกรณ์รุ่นใหม่ๆ เช่น tablet เอาไปทำอะไรได้บ้าง ให้แสดงความคิดเห็น จะเอามาทำข่าวได้อย่างไร
ข้อสอบจะเป็นแนวโอเพ่น
๕ พรบ. ข่าวสารข้อมูล
๖ พรบ. คอมพิวเตอร์
ตย. แนวข้อสอบ ความแตกต่าง ระว่าง yahoo กับ google อย่างไร คือบรรยายลักษณะของมันก่อน ทั้งสองอัน ความแตกต่างอย่างไร ที่เราเขียนมา จัดระเบียบ เช่น yahoo ประเภท ต่างจาก google เช่น เรื่องของ keyword หรือ หน้าตา หรือ ความเร็ว หรือ ลูกเล่น
รวบรวมโดย อาณาจักรโกวิทย์
รวบคำบรรยายและแนวข้อสอบ JR 301 1/54
แนวข้อสอบ 301
ข้อสอบ มี 6 ข้อ
โดย คนที่ส่งงานส่งงานทำ ข้อ 1- 4 คนไม่ส่งงานทุกข้อ คือ 6 ข้อ
ถ้ามีคนทำ 6 ข้อ นับจากตรงนั้นเลย แม้จะส่งงาน เนื้อหาข้อสอบ คร่าวๆ
๑. เนื้อหา อินเตอร์เน็ต
๒. เรื่องเกี่ยวกับ search engine
๓. excel
๔. อุปกรณ์รุ่นใหม่ๆ เช่น tablet เอาไปทำอะไรได้บ้าง ให้แสดงความคิดเห็น จะเอามาทำข่าวได้อย่างไร
ข้อสอบจะเป็นแนวโอเพ่น
๕ พรบ. ข่าวสารข้อมูล
๖ พรบ. คอมพิวเตอร์
ส่วนใครส่งงานไม่ครบ สามารถทยอยส่งได้เลยนะครับมี 3 ชิ้น ครับ.
ข้อสอบ มี 6 ข้อ
โดย คนที่ส่งงานส่งงานทำ ข้อ 1- 4 คนไม่ส่งงานทุกข้อ คือ 6 ข้อ
ถ้ามีคนทำ 6 ข้อ นับจากตรงนั้นเลย แม้จะส่งงาน เนื้อหาข้อสอบ คร่าวๆ
๑. เนื้อหา อินเตอร์เน็ต
๒. เรื่องเกี่ยวกับ search engine
๓. excel
๔. อุปกรณ์รุ่นใหม่ๆ เช่น tablet เอาไปทำอะไรได้บ้าง ให้แสดงความคิดเห็น จะเอามาทำข่าวได้อย่างไร
ข้อสอบจะเป็นแนวโอเพ่น
๕ พรบ. ข่าวสารข้อมูล
๖ พรบ. คอมพิวเตอร์
ส่วนใครส่งงานไม่ครบ สามารถทยอยส่งได้เลยนะครับมี 3 ชิ้น ครับ.
แนวข้อสอบ JR 104
แนวข้อสอบ 104
วิชา 104 ท่านอาจารย์ให้กรอบกว้างๆ ในการอ่าน
1. ชื่อคน เหตุการณ์ สถานที่ พ.ศ. (พยายามทำความเข้าใจดีๆและจดจำ)
2. การวิเคราะห์เหตุการณ์ช่วงเวลานั้น เช่น ทำไหมสื่อตะวันตกถึงเจริญกว้าหน้า ทั้งที่เกิดหลังตะวันออก เช่นจีน
3. การกำเนิดของสื่อแต่ละประเภท เพราะอะไร?
4. แนวโน้มของสื่อในอนาคต
ส่วนที่อภิปรายกันในห้องส่วนหนึ่งที่ทำรายงาน ออก 20 ข้อ ครับ...
เนื้อหาประมาณนี้ครับ...
วิชา 104 ท่านอาจารย์ให้กรอบกว้างๆ ในการอ่าน
1. ชื่อคน เหตุการณ์ สถานที่ พ.ศ. (พยายามทำความเข้าใจดีๆและจดจำ)
2. การวิเคราะห์เหตุการณ์ช่วงเวลานั้น เช่น ทำไหมสื่อตะวันตกถึงเจริญกว้าหน้า ทั้งที่เกิดหลังตะวันออก เช่นจีน
3. การกำเนิดของสื่อแต่ละประเภท เพราะอะไร?
4. แนวโน้มของสื่อในอนาคต
ส่วนที่อภิปรายกันในห้องส่วนหนึ่งที่ทำรายงาน ออก 20 ข้อ ครับ...
เนื้อหาประมาณนี้ครับ...
แนวข้อสอบ JR 202
แนวข้อสอบ 202
วิชา 202 ข้อสอบมี 4 ข้อ นะครับ..
คลิ๊กที่ภาพนะครับภาพจะขยายใหญ่ขึ้น
ผมจะพูดกว้างๆ นะครับ..
เนื้อหาออกสอบประมาณ
1. หลักการ แนวคิด ทฤษฎี ทางวารสารศาสตร์
2. สื่อมัลติมีเดีย/ สื่อ ?? เป็นอย่างไร
3. คอมพิวเตอร์เพื่อการสืบค้น
4. แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ สื่อออนไลน์
วิชา 202 ข้อสอบมี 4 ข้อ นะครับ..
คลิ๊กที่ภาพนะครับภาพจะขยายใหญ่ขึ้น
ผมจะพูดกว้างๆ นะครับ..
เนื้อหาออกสอบประมาณ
1. หลักการ แนวคิด ทฤษฎี ทางวารสารศาสตร์
2. สื่อมัลติมีเดีย/ สื่อ ?? เป็นอย่างไร
3. คอมพิวเตอร์เพื่อการสืบค้น
4. แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ สื่อออนไลน์
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)